วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ทำไมต้องอ้วนเพราะเบียร์ ?

ทำไมต้องอ้วนเพราะเบียร์ ?

อ้วน!!! ไม่เกี่ยวกินเบียร์


บี บีซีนิวส์- เคยสงสัยกันบ้างไหมว่าทำไม่คนไทยถึงเปรียบเทียบคนที่มีหุ่นตุ้ยนุ้ยว่าอ้วน เหมือนตุ่มเหมือนโอ่ง แล้วทำไมฝรั่งมังค่าเขาถึงบอกว่าคนที่มีพุงพลุ้ยเนี่ยอ้วนเพราะเบียร์ แล้ววันนี้นักวิจัยกลุ่มหนึ่งเขาเกิดพบว่า การบอกว่าคนเรานั้นอ้วนเพราะเบียร์เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง

นัก วิจัยจากอังกฤษและสาธารณรัฐเช็กเกิดนึกสงสัยในคำเรียกขานดังกล่าวจึงได้ทำ การสำรวจชาวเช็กเกือบ 2,000 คน ซึ่งเป็นที่รู้โดยทั่วกันว่าชาวเช็กนั้นเป็นนักดื่มเบียร์ตัวยง เพราะปริมาณการดื่มเบียร์ของชาวเช็กต่อคนนั้นมากกว่าคนชาติอื่น แล้วคณะวิจัยก็ได้พบว่า การมีพุงกับการดื่มเบียร์ปริมาณมากๆ ไม่เกี่ยวข้องกันเลย ดังนั้นการบอกว่าคนเราจะอ้วนเพราะดื่มเบียร์จึงเป็นการไม่ถูกต้อง

ทั้ง นี้ ดร.มาร์ติน โบบัค จากยูนิเวอร์ซิตี คอลเลจ ลอนดอน (University College London) และคณะวิจัยจากอินสติติวต์ ออฟ คลินิกคอล แอนด์ เอ็กซ์เพอริเมนทอล เมดิซีน (Institute of Clinical and Experimental Medicine) ในกรุงปราก ได้ให้หญิง 1,098 คน และชาย 891 คน ที่มีอายุระหว่าง 25 ถึง 64 ปี ทำแบบสอบถาม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา โดยไม่มีการกล่าวถึงเครื่องดื่มอื่นๆ ทั้งสิ้น


"ดื่มอะไรที่มีแอลกอฮอล์มากไป ก็อ้วนได้"

จาก การสำรวจพบว่า ชายชาวเช็กจะดื่มเบียร์โดยเฉลี่ยราว 3.1 ลิตรต่อสัปดาห์ ขณะที่ผู้หญิงจะดื่ม 0.3 ลิตรต่อสัปดาห์ โดยในจำนวนนี้มีชายอยู่ 3 คนที่ดื่มเบียร์อย่างหนัก คือดื่มราว 14 ลิตรต่อสัปดาห์ และมีหญิงเพียง 5 คนที่ดื่มถึง 7 ลิตรต่อสัปดาห์ โดยก่อนและหลังการดื่มเบียร์ คณะวิจัยจะให้แพทย์วัดขนาดของเอว และสะโพก ชั่งน้ำหนัก และบันทึกดัชนีมวลรวมของอาสาสมัครไว้ตรวจสอบด้วย

และ คณะวิจัยก็พบว่า การมีพุงไม่เกี่ยวข้องกับการดื่มเบียร์เลยสักนิด โดยกล่าวว่า การค้นพบครั้งนี้ของเขาชี้ให้เห็นว่า การกล่าวอ้างว่าคนอ้วนหรือมีพุงเพราะการดื่มเบียร์มากเกินไปจึงเป็นสิ่งที่ ไม่ถูกต้อง

ด้านนักวิจัยจากอิตาลีชี้ว่า ผู้ชายทุกคนมีแนวโน้มที่จะอ้วนลงพุงได้ ตามความผันแปรของยีนของแต่ละคน ขณะที่ไนเจล เดนบี จากสมาคมโภชนาการแห่งอังกฤษกล่าวว่า ผู้ที่ได้รู้ข่าวนี้ก็ไม่ควรวิ่งแจ้นเข้าผับเข้าบาร์หรือไปหาลานเบียร์เพื่อ ซดเบียร์ให้หายอยาก เพราะไม่ว่าจะรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่ม ชนิดใดก็ตามที่ผสมแอลกอฮอล์ก็สามารถอ้วนได้หากรับประทานมากเกินไป และหากต้องการดื่มจริงๆ ก็ควรดื่มแต่พอดี



วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เชื้อโรคในร้านเสริมสวย

เชื้อโรคในร้านเสริมสวย ร้านทำผม ร้านเสริมสวย
จากการสำรวจความสะอาดในร้านเสริมสวย โครงการสถานที่เสริมสวยหรือแต่งผมสะอาด ปลอดมลพิษเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี

ในรายงานเรื่อง ระวัง! ร้านเสริมสวยทำป่วย นิตยสาร "ชีวจิต" ฉบับ มี.ค. รศ.พ.ญ.วรัญญา บุญชัย คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ให้ข้อมูลว่า โรคติดต่อที่พบในร้านเสริมสวยแบ่งเป็น 4 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้


โรคเชื้อราผิวหนัง เจอ ได้ในผ้าเช็ดผม เพราะหากซักแล้วไม่ได้ผึ่งแดดให้แห้งสนิทเพื่อฆ่าเชื้อโรค เชื้อราจะเจริญเติบโต อีกอย่างคืออุปกรณ์ทำเล็บ เช่น กรรไกรตัดเล็บ ตะไบเล็บ อาจติดมาจากคนที่มีเชื้อและฆ่าเชื้อโรคไม่หมด รวมทั้งพบได้บ่อยในผู้ที่ชอบทำเล็บหรือต่อเล็บ เพราะทำให้เล็บจริงไม่ได้รับอากาศ เวลาโดนน้ำจะชื้น หากเป็นหนักเล็บจะเสียและยุ่ย

โรคจากเชื้อไวรัส เช่น โรคหูด เกิดจากอุปกรณ์ที่สัมผัสกับผิวหนังต่างๆ เช่น กรรไกรตัดเล็บ หวี และหินขัดเท้า

โรคจากเชื้อแบคทีเรีย เกิดจากอุปกรณ์ทั่วไปในร้านเสริมสวยที่ทำความสะอาดไม่ดีพอและใช้ร่วมกัน จำพวกหวีและแปรงต่างๆ

โรคติดเชื้อจากปรสิต เช่น ติดเหาจากอุปกรณ์ประเภทหวีและล่าสุด คือ อาจติดโลนขนตาจากกาวที่ใช้ติดขนตาปลอม เพราะช่างใช้กาวหลอดเดียวกันกับลูกค้าหลายคน


นอก จากโรคติดต่อทางผิวหนังแล้ว จากการศึกษายังพบโรคติดต่อทางเลือดอีกหลายชนิดในร้านเสริมสวย ซึ่งเกิดจากอุบัติเหตุและการไม่เปลี่ยนใบมีด


โดยเฉพาะ อย่างยิ่งเชื้อโรคไวรัสอักเสบชนิดบีและซี ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคตับอักเสบและมะเร็งตับ อุปกรณ์ที่เป็นพาหะคือมีดโกน กรรไกรตัดเล็บ และของมีคมต่างๆ ที่ใช้ในการเสริมความงาม


จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยทางการแพทย์ Emory University School of Medicine สหรัฐอเมริกา วิจัยพบว่าน้ำยาฆ่าเชื้อที่นิยมใช้กันในร้านเสริมสวยไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัส ตับอักเสบซีได้ ทางที่ดีควรเลือกร้านที่เปลี่ยนใบมีดจะดีที่สุด

นอกจากนี้ยังมีอีกหลายโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสารเคมีที่ใช้ในร้านเสริมสวย ไม่ว่าจะเป็นยาย้อมผม ดัดผม ทำสี หรือสเปรย์

แล้วเราจะป้องกันอย่างไร?

คุณหมอวรัญญาแนะนำว่า ควรสังเกตว่า ร้านนั้นๆ มีระบบระบายอากาศที่ดีหรือไม่ เพื่อไม่ให้โดนละอองจากสารเคมีมากเกินไป และสังเกตความสะอาดของร้านและอุปกรณ์ที่ใช้ จะช่วยป้องกันเชื้อโรคเบื้องต้นได้ทางหนึ่ง

‘ลูกชุบ’ ไม่ธรรมดา เล็กๆ แต่ทำเงินก้อนโต

‘ลูกชุบ’ ไม่ธรรมดา เล็กๆ แต่ทำเงินก้อนโต

“ลูกชุบ” ขนมไทยชนิดนี้ไม่เพียงเป็นที่ชื่นชอบของคนไทย คนรุ่นใหม่ ๆ ยุคนี้ยังเริ่มเป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยรูปลักษณ์ที่สวยงามน่ารัก อาศัยฝีมือในการประดิดประดอย สีสันที่สดใส และรสชาติที่อร่อยถูกปากคนทั่วไป ทั้ง ๆ ที่เป็นขนมที่ทำจากถั่วเขียวกวนธรรมดา ก็สามารถสร้างเงินและสร้างรายได้อย่างน่าทึ่ง

วันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูล “ลูกชุบ” มาบอกกล่าวกัน...

อ.สุปราณี ประเสริฐภักดี อายุ 70 ปี เจ้าของร้าน “บ้านลูกชุบ” เล่าถึงที่มาของอาชีพการทำลูกชุบขายว่า เริ่มทำลูกชุบตอนอายุ 40 ปี ยึดอาชีพนี้มาแล้วกว่า 30 ปี เนื่องจากสามีรับราชการ ต้องย้ายตามสามีไปในหลายจังหวัด มีเวลาว่างก็อยากจะเรียนทำขนมเพิ่มเติม โดยเฉพาะลูกชุบ ขนมที่สนใจและอยากจะทำเป็นมานานแล้ว

“ที่ สนใจลูกชุบเป็นพิเศษก็เพราะเกิดฝังใจ เคยเห็นลูกชุบที่เขาเอามาส่งตามห้าง คิดว่าเป็นขนมที่สวยงามและน่ารักมาก พอซื้อมาทานมันไม่อร่อย รู้สึกผิดหวัง เลยตั้งใจว่าถ้ามีโอกาสได้ทำก็จะทำให้ทั้งสวยทั้งอร่อย ตอนอยู่ต่างจังหวัดก็มีหน่วยศึกษาเคลื่อนที่และชมรมสตรีมาสอนทำอาหาร ก็สนใจและมีโอกาสเรียนทำอาหารคาวหวานหลายชนิด และได้เรียนทำลูกชุบสมใจ พอรู้วิธีการทำแล้วก็ยังไม่ถูกใจอีก ก็ปรับปรุงพัฒนาจนได้สูตรของตัวเอง”

แรก ๆ ก็ทำแจกในหมู่แม่บ้านข้าราชการ พอทุกคนบอกว่าอร่อยแล้ว ถ้าเอ่ยถึง “ลูกชุบพาณิชย์” ต้องรู้กันว่าเป็นของ อ.สุปราณี เพราะตอนนั้นบ้านพักอยู่หลังสำนักงานพาณิชย์จังหวัดอุดรธานี

พอมาอยู่กรุงเทพฯ ก็ยกกิจการให้ลูกสาว เปลี่ยนชื่อเป็น “ลูกชุบแซดเอ็น (ZN)” ลูกก็ไปหาตลาดจนได้ มีออร์เดอร์จากเอสแอนด์พีและโรงแรมอีกหลายแห่งทุกเดือน ซึ่งบางเดือนก็มักจะได้รับออร์เดอร์ไปออกงานต่างประเทศ ก็ทำส่งอยู่หลายปี จนปัจจุบันจะไม่มีวางขายตามท้องตลาดทั่วไป แต่จะทำและขายตามออร์เดอร์ที่สั่งเข้ามา

อ.สุปราณียังบอกอีกว่า บ้านลูกชุบเน้นการปั้นด้วยมือ เพราะจะมีความอ่อนช้อยมากกว่าการใช้แม่พิมพ์ และจะปั้นตามจินตนาการของตัวเอง ตอนที่เรียนเขาก็จะสอนให้ปั้นแต่ลูกชมพู่อย่างเดียว ก็มานึกดูว่าอยากจะปั้นอะไร จนได้มาเป็นรูปผลไม้รวม เช่น มะยม แตงโม มะม่วง ชมพู่ ส้ม เชอรี่ มังคุด ฯลฯ

“และ จะเพิ่มเติมรูปแบบต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับเทศกาล เช่น ปีนี้เป็นปีหมู ก็ได้เพิ่มลูกหมูขึ้นมา ใกล้วันวาเลนไทน์ก็จะเพิ่มรูปหัวใจ และถ้าช่วงตรุษจีนก็จะปั้นเป็นซิ่วท้อ ซึ่งได้รับความนิยมมาก”

>> การทำ
วัตถุ ดิบ-ส่วนผสมตามสูตรก็มี ถั่วเขียวเลาะเปลือก 1/2 กก. ต่อหัวกะทิ 2 ถ้วยตวง และน้ำตาลทราย 1/2 กก. ส่วนวัสดุที่ใช้ก็ได้แก่... กระทะทองเหลือง, ไม้พาย, เตาแก๊ส, ตะเกียบ, ไม้จิ้มฟัน, สีผสมอาหาร, จานสี, น้ำสะอาด, พู่กัน, อ่างน้ำ, กะละมัง, เครื่องบดไฟฟ้า หรือครก, ลังถึง, ผ้าขาวบาง

>> ขั้นตอนการทำ “ลูกชุบ”
เริ่ม จากเลือกถั่วเมล็ดเสีย กรวด หิน ออกให้หมด ล้างน้ำ 1 ครั้ง แล้วแช่ทิ้งไว้ 3-4 ชั่วโมง ล้างอีกครั้ง แล้วนำไปนึ่งให้สุก บดหรือโขลกให้ละเอียด แล้วจึงนำถั่วที่บดแล้วใส่ลงไปในกระทะทองเหลือง

นำน้ำตาลทรายและกะทิมาต้มด้วยไฟอ่อนให้ส่วนผสมละลายเข้ากันดี ต้องคนตลอดเวลาไม่ให้กะทิเป็นลูก

นำ ถั่วบดยกขึ้นตั้งไฟปานกลาง ค่อย ๆ ทยอยใส่น้ำกะทิลงกวนทีละน้อยจนหมด การกวนให้กวนไปในทางเดียวกัน เพื่อให้ถั่วเหนียว กวนถั่วไปเรื่อย ๆ จนถั่วกวนเริ่มแห้ง ควรหรี่ไฟให้อ่อนลง เมื่อแห้งจนจับเป็นก้อน และล่อนจากกระทะสักครู่ใหญ่ ๆ จึงยกลงจากเตา พักไว้ให้คลายร้อน นวดจนเนียน

“หากชอบกลิ่นควันเทียน ก็ให้นำถั่วกวนที่ได้ไปอบควันเทียนไว้สัก 3-5 ชั่วโมง”

เสร็จแล้วนำมาปั้นเป็นรูปผัก ผลไม้ หรือสัตว์ ตามชอบได้เลย

>> การปั้น
แบ่ง ถั่วตามขนาดที่จะปั้น ระหว่างที่ปั้นควรคลุมถั่วด้วยผ้าขาวบางชุบน้ำบิดหมาด ๆ เพื่อกันไม่ให้ถั่วแห้ง ปั้นเสร็จก็เสียบกับไม้จิ้มฟันปลายแหลม ระบายสีให้ใกล้เคียงกับของจริง

“การลงสีอย่าพยายามลงสีฉูดฉาด ให้ลงสีอ่อน ๆ เลียนแบบธรรมชาติ”

ระบายสีเสร็จก็เสียบไว้กับโฟม ทิ้งให้สีแห้ง จากนั้นก็นำไปชุบ “น้ำวุ้น”

>> วิธีทำ “น้ำวุ้น”
ใช้ วุ้นผง 5 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 5 ถ้วยตวง น้ำตาลนิดหน่อยเพื่อความวาว นำส่วนผสมใส่หม้อคนให้เข้ากัน แล้วยกขึ้นตั้งไฟกลาง ๆ หมั่นคนจนวุ้นใสเหนียว ยกลงทิ้งไว้สักครู่จะมีฟองสีขาวลอยขึ้น ให้ช้อนฟองทิ้ง

นำถั่วที่ปั้นและระบายสีแล้วชุบกับส่วนผสมวุ้น 1 ครั้ง ปักบนโฟมให้แห้ง แล้วจึงชุบครั้งที่ 2 และ 3 ทิ้งไว้ให้แห้ง เมื่อวุ้นแข็งตัวดีแล้วจึงถอดออกจากไม้จิ้ม ใช้กรรไกรตัดส่วนที่ไม่ต้องการทิ้ง ตกแต่งด้วยใบแก้วให้สวยงาม

>> การขาย
ทาง บ้านลูกชุบจะคิดราคาเป็นชุด ๆ ซึ่งแต่ละชุดจะแตกต่างกันไปตามปริมาณและบรรจุภัณฑ์ มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นตะกร้าหวาย ถาดเงิน ถาดทอง ถาดหวาย กล่องพลาสติก เข่งไม้ไผ่ ถาดประดิษฐ์ใบตอง ฯลฯ โดยจะมีราคาตั้งแต่ 60-3,000 บาท แล้วแต่ว่าลูกค้าต้องการแบบไหน ขนาดเท่าไหร่

ใคร สนใจอยากจะสั่งซื้อหรือลองชิม “ลูกชุบ” ของ อ.สุปราณี ร้านบ้านลูกชุบ ติดต่อไปได้ที่ เลขที่ 33 ซอย 50 ถนนจรัญสนิทวงศ์ กรุงเทพฯ 10700 โทร. 0-2424-8606

“ลูกชุบ” ลูกเล็ก ๆ ก็ทำเงินก้อนโตได้

สารพัด ‘ขนมปี๊บ’ ‘แบ่งแพ็กขาย’ กำไรดี

สารพัด ‘ขนมปี๊บ’ ‘แบ่งแพ็กขาย’ กำไรดี

ขนมแห้งที่บรรจุปี๊บขายส่ง หรือเรียกง่าย ๆ ว่า “ขนมปี๊บ” นั้น มีอยู่มากมายหลายชนิด ซึ่งก็สามารถนำมาใช้ทำเป็นธุรกิจค้าขายง่าย ๆ ทำรายได้อย่างสบาย ๆ โดยรูปแบบของธุรกิจที่ไม่มีความซับซ้อนอะไรมาก...

ดวงพร สีเมฆ ปัจจุบันยึดอาชีพ “แบ่งขนมปี๊บแพ็กขาย” ในตรา “ดวงพร” เจ้าตัวบอกว่า ทำอาชีพนี้มาได้ 4 ปีแล้ว ซึ่งเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้เสริมจากงานประจำได้เป็นอย่างดี

“ทำ งานประจำเกี่ยวกับโฆษณามานาน พอระยะหลัง ๆ ก็ผันตัวเองมาทำแบบฟรีแลนซ์ คือรับงานอิสระ ดังนั้นก็พอจะมีเวลาว่างมากขึ้น จึงไม่อยากรอให้รายได้วิ่งเข้ามาหา เปลี่ยนเป็นเดินเข้าหารายได้บ้าง”

จุด เริ่มของธุรกิจเสริมตัวนี้ เริ่มจากไปช่วยเพื่อนแพ็กขนมผิงเพื่อส่งออกไปต่างประเทศ ซึ่งลอตนั้นมีของเหลือ เพื่อนจึงบอกว่าให้เอาไปขาย จึงลองเอาไปขายตามเพื่อนแนะนำ ซึ่งปรากฏว่าขายได้ เหตุการณ์คราวนั้นก็ทำให้เข้าใจว่าสินค้า คือ ขนมผิง ซึ่งมีแหล่งวัตถุดิบจากจังหวัดสุโขทัยนั้น เป็นของดี ขายได้ “และจากความรู้จากการเรียนวิชาโฆษณามา ก็ทำให้ได้ช่องทางในการทำธุรกิจแบบย่อย ๆ”

เมื่อ เราได้สินค้ามา ต่อไปเราก็ต้องหาสถานที่เพื่อวางจำหน่าย เริ่มต้นด้วยการขับรถตระเวนตามย่านถนนติวานนท์ เข้าไปติดต่อ ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าในโรงอาหารของสถานที่ราชการ ซูเปอร์มาร์เกต ตามคอนโดมิเนียม อพาร์ตเมนต์ ซึ่งก็มีนับสิบร้าน เข้าไปติดต่อเพื่อฝากขายขนม โดยการหาสถานที่เพื่อติดต่อขายของนั้นจะต้องหาในละแวกเดียวกัน และหาจำนวนร้านให้ได้มากในระดับหนึ่ง จะได้ไม่ต้องขับรถไกล เพราะต้องคิดถึงต้นทุนค่าน้ำมันรถด้วย

การเข้าไปติดต่อร้านค้าเพื่อ นำเสนอขนมนั้น ก็จะต้องทำการหีบห่อให้สวยงาม ด้วยการแบ่งย่อยใส่ถุง ๆ ละ 100 กรัม ขายส่งในราคาถุงละ 8 บาท โดยทางร้านค้าจะขายปลีกในราคาถุงละ 10 บาท

ถุงที่ใช้จะใช้ถุงจีบพลาสติกใส มี 3 ขนาด คือ 5x8, 6x9 และ 7x11 ราคา กก.ละ 38 บาท ซึ่งหาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์เบเกอรี่ หรือร้านขายขนมปี๊บที่ไปซื้อสินค้ามาแบ่งขาย

เสริมความสวยงามของถุงด้วยการตกแต่งโดยการใช้กระดาษห่อของขวัญที่หลากหลาย เพื่อไม่ให้สินค้าดูซ้ำซาก-จำเจ โดยจะต้องเลือกใช้ให้เข้ากับขนมและจะเป็นสัญ ลักษณ์ของการหมุนเวียนขนมด้วย

ดวงพรบอกต่อไปว่า สินค้า ที่เริ่มต้นวางขายคือขนมไทย ๆ ขนมผิง กล้วยอบ เผือกเส้น ซึ่งวัตถุดิบคือ อ.บ้านกง จ.สุโขทัย สั่งตรงจากร้านที่จังหวัดและ หลัง ๆ เมื่อไปวางขายตามร้านแล้ว ทางเจ้าของร้านก็บอกว่าให้เอาขนมแบบนั้นแบบนี้มาขายด้วย ซึ่งก็ต้องสนองความต้องการของลูกค้า ไปหา “ขนมปี๊บ” ชนิดต่าง ๆ มาแบ่งแพ็กขาย

“ใน ละแวกบ้านมียี่ปั๊วร้านขนมปี๊บอยู่ร้านหนึ่งและเป็นร้านเดียวกับที่รับขนม จากสุโขทัยมาขายด้วย ดังนั้นเป็นอันว่าเราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องสั่งของจากสุโขทัยโดยตรง ซึ่งเป็นข้อดีอย่างหนึ่งที่ว่าของที่สั่งจากสุโขทัยนั้นเวลามาส่งที่ กรุงเทพฯ แต่ละครั้งจะมาทีละลอตใหญ่ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่สูง ดังนั้นเมื่อซื้อที่กรุงเทพฯ ได้เราก็สามารถนำเงินที่จะมาจ่ายเป็นค่าของลอตใหญ่นั้นมาแบ่งซื้อขนมปี๊บได้ อีกหลาย ๆ อย่าง สินค้าจึงหลากหลาย”

ขนมปี๊บที่นำมาแบ่งขายนั้น ดวงพรบอกว่า ต้องชิมก่อน หมายความว่าสินค้าต้องดีและอร่อย อาทิ ขนมขาไก่ ขนมเกลียวช็อก ข้าวโพดอบกรอบ ขนมปังเวเฟอร์ ขนมปังรูปสัตว์รสช็อกโกแลต-วานิลลา ขนมพองพองช็อก เป็นต้น ซึ่งเหล่านี้เป็นขนมที่ขายได้ดีเมื่อนำมาแบ่งแพ็กขาย

หลักการในการขายที่สำคัญอีกประการ เริ่มแรกจะต้องไม่ลงขนมเยอะไป เช่น แค่ร้านละ 12 ถุง เพื่อกันไม่ให้มีขนมเหลือเยอะ แต่ต้องมีหลายอย่าง ผ่านไป 1 สัปดาห์ก็ไปเก็บเงิน เก็บของที่อาจมีเหลือ เจ้าของร้านก็จะบอกว่าขนมอะไรขายดี-ขายไม่ดีในพื้นที่นั้น ๆ ขนมที่ขายดีแต่ละร้านจะไม่เหมือนกัน ก็ต้องจดไว้ สำหรับส่งของครั้งต่อไป

ปัจจุบัน ดวงพรยังนำ ขนมกรอบเค็ม ขนมถั่วตัด ฟักทองทอด มาเสริมเพิ่มความหลากหลายด้วย และยังฝึกทำ ก๋วยเตี๋ยวหลอด ข้าวตังหน้ากะทิ ขนมตะโก้ ซึ่งก็สามารถเสริมรายได้จากการขายของแบบนี้เพิ่มขึ้นอีก

ทั้ง นี้ ขนมปี๊บนั้นเมื่อซื้อมาปริมาณจะอยู่ที่ 5 กก.เป็นมาตรฐาน ส่วนราคานั้นเฉลี่ยอยู่ที่ 255 บาทต่อปี๊บ แล้วแต่ว่าเป็นขนมอะไร และก็มีต้นทุนค่าถุง-ค่าตกแต่งถุง ค่าขนส่งอีกส่วนหนึ่ง การแบ่งขายจึงต้องขายให้ได้กำไรใกล้ 100% คือแบ่งใส่ถุง ๆ ละ 100 กรัม ขายในราคาส่ง 8 บาท ถ้าขายหมดก็ได้ 400 บาท

ใครสนใจขนม “ดวงพร” ก็ติดต่อได้ที่ โทร. 0-2588-2350 และ 08-6985-9058 ทั้งนี้ ธุรกิจ “แบ่งขนมปี๊บแพ็กขาย” นั้นเป็นอีกรูปแบบธุรกิจค้าขายง่าย ๆ แต่เป็น “ช่องทางทำกิน” ที่น่าสนใจทีเดียว!

คู่มือลงทุน....แบ่งขนมปี๊บขาย
ทุนเบื้องต้น ประมาณ 5,000 บาท
ทุนวัตถุดิบ ไม่เกิน 300 บาท/ปี๊บ
รายได้ 400 บาท/ปี๊บขึ้นไป
แรงงาน 1 คน
ตลาด ฝากขายราคาส่งตามร้านค้าทั่วไป
จุดน่าสนใจ ทำง่ายกำไรดี, เป็นอาชีพเสริมได้

‘ห่อหมกหมูหม้อดิน’ อร่อย-แปลก..แบบไทย ๆ

‘ห่อหมกหมูหม้อดิน’ อร่อย-แปลก..แบบไทย ๆ

“ห่อหมก” อาจจะไม่ใช่อาหารชนิดใหม่ แต่ถึงวันนี้ก็ยังทำขายได้ทั่วไป รวมถึงห่อหมกที่ทำจากหมู หรือห่อหมกหมู วันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” จึงพาไปรู้จักกับ “ห่อหมกหมูแม่ละมัย” ที่ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ที่มีจุดขายน่าสนใจทั้งวัตถุดิบที่นำมาใช้ คือหมู ไม่ใช่ปลา และภาชนะที่ใส่ห่อหมกด้วย

ละมัย เขียวชะอ่ำ เจ้าของสูตรห่อหมกหมู บอกว่า ที่ตลาดน้ำบางน้ำผึ้งได้เปิดให้ชาวบ้านในละแวกเข้ามาจับจองร้านค้าเพื่อ จำหน่ายผลิตภัณฑ์และอาหารที่ผลิตจากฝีมือชาวบ้านโดยแท้ จะไม่มีการรับมาขาย หลักเกณฑ์ในการจับจองร้านค้าผู้ที่เข้าจองจะต้องมีการแจ้งด้วยว่าจะขาย สินค้าอะไร ซึ่งตนเองก็คิดว่าจะขายห่อหมก เพราะเป็นได้ทั้งอาหารทานเล่น และทานกับข้าว แต่ทางผู้จัดการตลาดน้ำเสนอว่าไม่อยากให้ขายอาหารที่ซ้ำกัน เพราะในเวลานั้นมีร้านที่จะขายห่อหมกจำนวนมากแล้ว จึงต้องกลับมาคิดใหม่ แต่ยังไงก็ยังต้องการที่จะขายห่อหมกอยู่ดี

“จึงคิดที่จะหาวัตถุ ดิบอย่างอื่นมาแทนเนื้อปลา เพื่อเป็นการเปลี่ยนแปลงไม่ให้ไปซ้ำกับคนอื่น และเห็นว่าหมูสับก็น่าจะเป็นวัตถุดิบหนึ่งที่จะนำมาดัดแปลงแทนปลาได้ และที่สำคัญยังไม่ค่อยเห็นที่ไหนทำห่อหมกหมูออกมาขายกันด้วย จึงตัดสินใจที่จะทำเมนูนี้ออกจำหน่าย ในช่วงแรก ๆ ก็รู้สึกกังวลว่าจะมีลูกค้าสนใจหรือไม่ เพราะส่วนใหญ่ถ้าจะกินห่อหมกก็ต้องเลือกกินห่อหมกปลาช่อน แต่ก็ลองเสี่ยงดู ปรากฏว่าผิดคาด เพราะลูกค้าให้ความสนใจมาก โดยเฉพาะลูกค้าวัยสูงอายุจะค่อนข้างชื่นชอบเป็นพิเศษ เพราะไม่ต้องระวังก้างติดคอ”

การขายห่อหมกหมู ของแม่ละมัย ในช่วงแรกจะจำหน่ายโดยการใส่กระทงใบตองเหมือนทั่ว ๆ ไป แต่ต่อมาได้พลิกแพลงสร้างจุดขายโดยนำ “หม้อดิน” มาใช้ด้วย ซึ่งก็ทำให้สินค้าได้รับความสนใจมากขึ้นอีก...

“ใส่ในหม้อดิน ทำให้ห่อหมกได้รับการตอบรับจากลูกค้าเพิ่มมากขึ้นอีก”

เคล็ด ลับความอร่อยของ “ห่อหมกหมูแม่ละมัย” กับวิธีในการทำห่อหมกก็ไม่ได้แตกต่างไปจากการทำห่อหมกปลาทั่ว ๆ ไป เพียงแต่นำ “หมูสับ” มาเป็นวัตถุดิบแทนปลาเท่านั้น

ขั้นตอนแรก เริ่มจากการนำหมูสับใส่ลงไปในหม้อผสม จากนั้นก็นำพริกแกงปรุงรสสำเร็จรูปเทลงไป ใช้มือทำการนวดขยำคลุกเคล้าเนื้อหมูกับพริกแกงไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเข้ากัน ใช้เวลาในการนวดประมาณครึ่งชั่วโมง

เมื่อนวดเนื้อหมูและพริกแกงเข้า กันดีแล้วก็นำไข่ไก่ตอกใส่ลงไปในหม้อ ทำการนวดคลุกเคล้าต่อไปจนส่วนผสมเข้ากันเป็นอย่างดี จากนั้นก็ให้นำหัวกะทิค่อย ๆ เทผสมลงไปทีละน้อยและก็นวดไปเรื่อยด้วย ดูว่าเข้ากันดีแล้วเท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อย เตรียมใส่กระทงหรือหม้อดินนึ่งขายได้เลย

“ไม่ควรเทหัวกะทิที่เตรียม ไว้ลงไปทีเดียวจนหมด ต้องค่อย ๆ เททีละน้อยแล้วนวดไปเรื่อย เพราะถ้าเทลงไปทีเดียวหมดจะทำให้เนื้อของห่อหมกไม่นิ่ม” คุณละมัยเผยเคล็ดลับ

ทั้งนี้ สำหรับส่วนผสมตามสูตรของแม่ละมัย หากใช้หมูสับ 1 กก. จะใช้พริกแกงประมาณ 1/2 กก. และใช้ไข่ไก่ 8 ฟอง ส่วนหัวกะทิใช้ประมาณ 1/2 กก.

“ส่วนผักสำหรับรองก้นกระทงหรือ หม้อดินนั้นจะใช้ผักอยู่ 3 ชนิด ได้แก่ ใบยอ ใบโหระพา และกะหล่ำปลี ซึ่งผักทั้ง 3 ชนิดนั้นต้องล้างให้สะอาด และลวกให้สุกก่อนที่จะนำลงไปรอง ที่ต้องนำผักไปทำการลวกน้ำร้อนก่อนนั้นก็เพราะจะทำให้ผักไม่มีรสขม โดยเฉพาะใบยอ”

หลัง จากที่หยอดเนื้อห่อหมกใส่กระทงหรือหม้อดินแล้ว จะต้องตั้งน้ำในรังถึงชั้นล่างให้เดือดก่อน จากนั้นก็นำห่อหมกมาใส่รังถึงอีกชั้นแล้วทำการนึ่ง และก่อนนึ่งต้องหยอดหัวกะทิที่หน้าห่อหมกอีกครั้ง โรยหน้าด้วยผักชีและพริกแดงเพื่อความสวยงาม การนึ่งใส่กระทงจะใช้เวลา 20-30 นาที ถ้าใส่หม้อดินจะใช้เวลานึ่ง 30-40 นาที

คุณละมัยบอกว่า ห่อหมกที่ทำขายนั้น จะเน้นให้หอมและมันด้วย กะทิ มีรสชาติที่กลมกล่อม และเรื่องของความสะอาดก็ต้องให้ความสำคัญทุกขั้นตอนด้วย อย่างถ้าใช้กระทงใบตองก็ต้องเช็ดทำความสะอาดหลาย ๆ รอบ ส่วนหม้อดินนั้นก็จะต้องนำไปนึ่งเสียก่อนจึงจะนำมาใช้ใส่ห่อหมก

การ ทำห่อหมกหมูขาย ถ้าใช้หมูสับ 10 กก. จะได้ห่อหมกแบบใส่กระทงใบตองราว 300 กระทง กับห่อหมกแบบที่ใส่หม้อดินอีกประมาณ 50 หม้อ ซึ่งมีราคาขายอยู่ที่กระทงละ 10 บาท ถ้าเป็นหม้อดินก็จะขายหม้อละ 20 บาท ถ้าขายหมดจะมีรายได้ประมาณ 4,000 บาท โดยลงทุนวัตถุดิบประมาณไม่เกิน 2,000 บาท

ผู้สนใจ “ห่อหมกหมูแม่ละมัย” และอาหารโบราณชนิดอื่น ๆ ที่ทำขายด้วย อาทิ กะปิคั่ว, ปลาอินทรีย์หลน พร้อมผักจิ้ม, แกงขี้เหล็ก, ผัดหมี่กะทิ ร้านของคุณละมัยอยู่ที่ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง พระประแดง ร้านที่ 159 ซึ่งเปิดขายเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ หรือจะสั่งจองสั่งทำก็ โทร.0-2461-3654, 08-9445-0669, 08-7098-5853 ซึ่งรับสั่งทำในวันธรรมดาต้อง 100 กระทงอย่างต่ำ หรือถ้าเป็นหม้อดินก็ 50 หม้อขึ้นไป

เมนูธรรมดาที่มีการทำขายทั่วไปอย่างห่อหมก ถ้านำมาดัดแปลงสูตรกลายเป็นเมนูใหม่ ๆ รู้จักพลิกแพลงภาชนะให้น่าสนใจ ก็สามารถนำมาเป็นจุดขาย สร้าง “ช่องทางทำกิน” ที่ดีได้!

ร้านเสื้อผ้าสำหรับสาวไซต์ใหญ่ B-Girl shop

ร้านเสื้อผ้าสำหรับสาวไซต์ใหญ่ B-Girl shop
ร้านของตั้วชื่อ บี เกิร์ล ช็อบ (B-Girl shop) ค่ะ ตัว B ย่อมาจาก Big และมีอีกความหมายหนึ่ง คือ Be girl คือ เป็นผู้หญิงค่ะ คือ เราจะทำให้เค้าเป็นผู้หญิงมากขึ้น อย่างสวยงามและอ่อนหวานค่ะ ซึ่งจริงๆ เค้าใส่ได้ทุกรูปแบบค่ะ แต่ว่าจำเป็นจะต้องมีการปรับ เสริมจุดเด่น หรือว่าพรางจุดด้อยของเค้า หรือว่าสไตล์การแต่งตัวก็ต้องดู ต้องมีการปรับด้วยค่ะ

เริ่ม ต้น ไซส์เล็กสุด เริ่มจากไซส์ L ขึ้นไปเป็นอย่างต่ำนะคะ อย่างสาวๆ ที่ตัวใหญ่ อาจต้องใส่อะไรที่ไม่ปิดมิดชิดเกินไป เช่น เสื้อคอตั้ง ปิดหมด อาจทำให้ดูตัน หรือตัวใหญ่กว่าเดิม คือว่า จริงๆ แล้วคนที่ตัวใหญ่ แต่มีไซส์แขนที่สมดุลกับตัว ก็อาจเปิดเผยได้ ไม่จำเป็นต้องไปปิดหมด ยิ่งปิดหรือใส่สีดำ หรือใส่สีเข้มมันจะกลายเป็นอะไรที่ดูหนาๆ คือ สีดำช่วยพรางหุ่นบ้างเล็กน้อย อาจเหมาะกับเสื้อที่แบบแข็งๆ คือ ถ้าเป็นแบบสไตล์อ่อนหวาน ไปใส่สีเข้มๆ ก็ใส่ไม่สวยค่ะ


ทำไมถึงได้มาตัดชุดที่คิดว่าสาวไซส์ใหญ่ก็สามารถใส่เปิดได้ ใส่สีอ่อนๆ ได้?
เริ่มต้นที่มาทำชุดไซส์ใหญ่มาจากตัวเองค่ะ เนื่องจากตั้วเป็นคนตัวใหญ่ หาเสื้อผ้ายาก เวลาเดินช็อปปิ้ง เจอน่ารักๆ แต่ใส่ไม่ได้ กลายเป็นอย่างไซส์คุณนุ้ย แต่ว่าตั้วโชคดี มีคุณแม่เป็นดีไซเนอร์ เคยทำร้านเสื้อมาก่อน ช่วยให้ตั้วมีคนที่ดูแล คอยให้คำปรึกษาค่ะ นึกถึงคนที่ตัวใหญ่กว่าเรา ไซส์ใหญ่กว่าเรา คงจะหาเสื้อผ้ายาก จึงมีความคิดว่าเราจะเป็นทางเลือกให้เค้า เป็นร้านเสื้อที่ให้เค้าเลือกเสื้อสวยๆ ไปใส่ จริงๆ คือ เริ่มจากเห็นใจตัวเองก่อน (หัวเราะ)


จริงๆ แล้วสีเข้มใส่ได้ และช่วยพรางบ้างเล็กน้อย แต่ว่าอารมณ์ของสีสันจะช่วยให้เสื้อผ้ามีอารมณ์ และมีความหลากหลาย สีอ่อนทำให้ดูอ่อนหวาน สีแรงๆ จะทำให้ดูเปรี้ยว ดูเสริมขึ้นมา ตั้วคิดว่า สาวไซส์ใหญ่ก็อยากใส่เสื้อผ้าที่มีสีสัน มีรูปแบบหลากหลาย บางครั้งก็อยากดูหวานๆ หรือเซ็กซี่บ้าง


สำหรับ สาวที่ข้างบนเล็กกว่าข้างล่าง แนะนำให้ใส่เสื้อที่มีแขนแบบตุ๊กตา ช่วยเสริมให้ดูมีบ่า หรือดูสมาร์ทมากขึ้น หรือตัวนี้ (ตัวเขียวอ่อน) มีระบาย มีพองช่วงแขน ช่วยได้ค่ะ เพราะจะทำให้ดูมีบ่าใหญ่ เสริมให้ช่วงบนดูใหญ่ขึ้นค่ะ อย่างตัวนี้ (เขียวอีกตัว) มีทิ้งลงมาก็จะปิดช่วงสะโพก พรางหน้าท้องค่ะ


เคล็ดลับผู้หญิงที่มีไซส์ใหญ่จะดูแลตัวเองให้ดูสวย สดใสเสมอค่ะ?แนะ นำว่า จริงๆ แล้วคนเราเนี่ย ความมั่นใจเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะใส่เสื้อผ้าแบบไหน ถ้าคุณมั่นใจและรู้สึกว่าเราใส่แล้วเรารู้สึกว่าเราดูดี ชอบ ใส่แล้วเดินอย่างมั่นใจก็ใส่ไปเลย ยกตัวอย่างพี่นู๋แหม่ม ใส่อะไรก็ดูดีทั้งนั้น อยากให้คุณผู้ชมที่มีไซส์ใหญ่ลองใส่เสื้อผ้าค่ะ ถ้าชอบอะไร ใส่เลย ไม่จำเป็นต้องคอยปิด ไปห่วง คอยแอบตลอด ก็จะช่วยเสริมบุคลิกค่ะ

“คนเราเนี่ย ความมั่นใจเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะใส่เสื้อผ้าแบบไหน ถ้าคุณมั่นใจและรู้สึกว่าเราใส่แล้วเรารู้สึกว่าเราดูดี ชอบ ใส่แล้วเดินอย่างมั่นใจก็ใส่ไปเลย”


สุดท้ายนี้ ถ้าสาวไซส์ใหญ่อยากขอคำปรึกษา หรือติดต่อคุณตั้ว จะติดต่อได้ที่ไหน?
ติดต่อตั้วได้นะคะ 081-928-5644 หรือเข้าไปที่เว็บไซต์ก็ได้นะคะ http://www.b-girlshop.com ค่ะ

นักแต่งเพลง

นักแต่งเพลง
ร้อยเรื่องราว ผ่านท่วงทำนอง
สาว ผู้รักการขีดๆ เขียนๆ และหลงใหลในเสียงเพลงน่าจะเคยฝันถึงอาชีพนักแต่งเพลงกันบ้าง งานนี้จะว่าใช้พรสวรรค์อย่างเดียวก็ไม่เชิง เพราะพรแสวงก็สำคัญใช่ย่อย อย่างเช่นสาวนักแต่งเพลงเลือดใหม่ไฟแรงคนนี้ ที่ถ้าบอกชื่อว่า เอิ้น-พิยะดา หลายคนอาจจะไม่คุ้น แต่ถ้าบอกชื่อเพลงที่เธอแต่งละก็ แทบทุกคนต้องร้องอ๋อ ตั้งแต่เพลง ‘เพื่อนรัก’ ของเอิน-กัลยากร, ‘เจ็บซ้ำซ้ำ’ ของแอน-ธิติมา, ‘รักเท่าไหร่ก็ยังไม่พอ’ ของลูกปัด, ‘คำถาม’ และ ‘อยากมีสิทธิ์ใช้คำว่ารัก’ ของท๊อฟฟี่ ล่าสุดที่ยังฮิตติดชาร์ตไม่เลิก คือ ‘ฤดูรัก’ เพลงประกอบหนัง Season Change

ใครจะเชื่อว่าสาวผู้แต่งเพลงฮิตเหล่านี้ที่จริงมีงานหลักเป็นหมอ WP จึงควานหาตัวเธอมาเล่าถึงงานแต่งเพลงที่เธอรักเสียหน่อย

เอิ้น-พ.ญ.พิยะดา หาชัยภูมิ
นักแต่งเพลงอิสระ, แพทย์สาขาจิตเวช รพ.รามาธิบดี


WP : จากแพทย์มาเป็นนักแต่งเพลงได้ยังไงคะ
หมอเอิ้น : เป็น มาคู่กันเลยค่ะ ที่จริงเด็กจาก จ.เลยแบบเอิ้น เป้าหมายส่วนใหญ่คือเข้า ม.ขอนแก่นให้ได้ แต่ด้วยความที่เราอยากเป็นนักแต่งเพลง และอยากเรียกหมอโดยเอารายได้ทางนี้มาช่วย ตอนเอนทรานซ์ก็เลยเลือกมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ หมดเลย เพื่อการนี้โดยเฉพาะ


WP : แสดงว่าเริ่มแต่งเพลงมาตั้งแต่เด็กเลยเหรอ
หมอเอิ้น : ตั้งแต่สมัยอยู่ชั้นประถมฯ เลยค่ะ (เราฟังแล้วอ้าปากค้างไปเลย) คือพอฟังเพลงได้เขียนหนังสือได้ก็เริ่มแล้ว คงเพราะเป็นคนที่ชอบฟังเพลง แล้วก็ชอบร้องเพลงเล่นๆ แต่ความจำไม่ดี (หัวเราะ) ชอบจำทำนองได้โดยที่จำเนื้อเพลงไม่ได้ ก็เลยร้องมั่วเอง เผอิญว่ามันเกิดฟังรู้เรื่องไง พอถึงวันสำคัญที่บ้าน มีงานก็ขี้เกียจซื้อของขวัญเลยเขียนเพลงให้เขา การเขียนเพลงก็เลยเหมือนกลายเป็นงานอดิเรกเรา เป็นนิสัยเรา เข้าห้องน้ำก็ร้องเพลง อยากจะเขียนไดอารี่ก็เขียนเพลงแทน


WP : ได้ยินว่าแต่งเพลงโดยไม่ใช้เครื่องดนตรีอะไรเลย
หมอเอิ้น : ที แรกเอิ้นเข้าใจว่าทุกคนเป็นแบบนี้ ไม่รู้ว่านี่เป็นความสามารถพิเศษ เรื่องอย่างนี้มันอยู่ที่ว่าเราจะสนใจทำหรือเปล่าเท่านั้น เวลาที่เอิ้นเขียนเพลงมันจะมาพร้อมกันทั้งเนื้อหาและทำนอง เหมือนดังอยู่ในหัวของเรา เป็นมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว บางทีมันจะมาตอนไหนก็ไม่รู้หรอก เลยต้องมีสมุดปากกาไว้คอยจดตลอด เอิ้นจะเขียนลงสมุดไว้เป็นเล่มๆ เลยค่ะ จะพรีเซ้นต์ก็ถามเขาว่าจะฟังเพลงไหนคะ จะร้องให้ฟัง (หัวเราะ)


WP : เพลงไหนแต่งเสร็จเร็วที่สุดคะ
หมอเอิ้น : เพลง ‘คำถาม’ ใช้เวลาแค่ 10 นาทีเองมั้ง (เรา อ้าปากค้างอีกรอบ) ตอนนั้นอยากเขียนเพลงที่บอกความหมายของคำว่ารักแต่ไม่ได้เขียนสักที จนวันหนึ่งได้ดูละคร ตามเรื่องมีเพื่อนมาถามนางเอกว่าความรักของแกคืออะไร แล้วนางเอกเขาก็ตอบ แต่เป็นคำตอบที่ไม่ตรงกับความหมายที่เอิ้นคิดเอาไว้เลย พอละครจบปุ๊บ ปิดทีวี เขียนได้เลย...คำถาม...ที่ใครต่างค้นหา...คือเอามาจากละครน่ะค่ะ แล้วมันก็ไหลไปเองโดยธรรมชาติ จนถึงท่อนฮุกที่ว่า...ความรักฉันหน้าตาเหมือนเธอ...ก็ดันมีหน้าของผู้ชายคน ที่เราคบด้วยในตอนนั้นโผล่ขึ้นมา ก็เลยเฮ้อ! หน้าตาเหมือนมันก็ได้ (หัวเราะ)


WP : แล้วเพลงไหนแต่งยากที่สุด
หมอเอิ้น : ชื่อเพลง ‘รักตัวเองมากไป’ ของลูกปัด อัลบั้มช็อกโกแลตเพลงนี้เขียนยากค่ะ เอิ้นว่าเพลงรักๆ ประเภทมองโลกสดใส เป็นนางเอกเนี่ยเขียนง่ายเลย คงเป็นเพราะคนเราชอบให้คนชม ชอบให้พูดถึงเรื่องดีๆ ถ้าใครพูดถึงข้อเสียของเราจะหงุดหงิด ไม่ชอบแล้ว แต่เพลง ‘รักตัวเองมากไป’ นี่มาจากการที่เอิ้นคิดว่าคนเราชอบคิดถึงแต่ตัวเอง แต่เราไม่ค่อยยอมรับความจริงกัน ก็เลยคิดว่าอยากเขียนเพลงๆ นี้ให้คนที่บางทีรักตัวเองมากเกินไปจนคนอื่นไม่อยากอยู่ด้วยแล้ว เพลงนี้อาจจะสะกิดใจคุณได้ แล้วทำให้คุณหันมามองคนที่เขาดีกับคุณมาตลอด มันยากที่เราจะจี้ใจดำคนอื่นและให้ฟังแล้วยอมรับว่า เออ...เราเป็นคนอย่างนั้นจริงด้วย ไม่ใช่ฟังแล้วต่อต้าน ตามไปตบเลยไอ้คนเขียนเพลงนี้ (ฮาครืน)


WP : รู้สึกอย่างไรที่เพลงที่เราแต่งดังแทบทุกเพลง
หมอเอิ้น : รู้สึก ว่าดวงดีจริงๆ เลย (หัวเราะ) ตอนแรกแค่ได้ยินเพลงเรา รู้ว่าเพลงเรามีคนเอาไปใช้ก็ดีใจแล้ว ความดีใจของเอิ้นมันเหมือนหยุดอยู่ตรงนั้นแล้วไง ก็มีอยู่ช่วงหนึ่งเหมือนกันที่เราได้ไปเรียนรู้กับกลุ่มเขียนเพลงต่างๆ เพื่อจะได้หัดเขียนหลายๆ สไตล์ แต่มาคิดแล้วเอิ้นว่าเราคงไม่ใช่แน่ๆ เอิ้นเป็นคนเขียนเพลงตามความรู้สึก เขียนตามที่ตัวเองคิด เขียนในภาษาที่พี่แอน (ธิติมา ปทุมทิพย์) บอกว่าแกนี่เขียนเพลงภาษาเอิ้นๆ อีกแล้วนะ คือเสี่ยว-เลี่ยน-ลาว (หัวเราะ)

ถ้าครบสามอย่างก็คือภาษาเอิ้นๆ ตอนเขียนเพลงก็ไม่ตั้งใจให้ใครชอบหรอก แค่เรารู้สึกแบบนี้ อย่าง เพลง ‘ฤดูรัก’ ก็ดูหนังแล้วมาคิดว่าถ้าฉันเป็นนางเอกนะ (หัวเราะ) จะสังเกตว่าเขาจะมีโค้ดว่าฤดูหนาวเปลี่ยนเป็นฤดูร้อน เปลี่ยนฤดูไปเรื่อยๆ แต่สิ่งหนึ่งที่เอิ้นคิดว่าไม่เปลี่ยนเลยทั้งเรื่องคือมีความรักทุกซีน ก็เลยตั้งฤดูขึ้นใหม่เป็นฤดูรัก ซึ่งเป็นความรู้สึกหลังจากที่ได้ชม และอยากให้คนฟังแล้วประทับใจเช่นเดียวกับเรา


WP : คิดว่าเพลงของเราเป็นการบำบัดในแง่จิตวิทยาไหมคะ
หมอเอิ้น : คิดอย่างนี้เลยค่ะถึงมาเรียน ตอนที่เอิ้นไปขอทุนก็บอกอาจารย์เลยว่าอยากทำ Music Therapy เพราะเอิ้นเชื่อว่าดนตรีมันช่วยได้จริงๆ อย่างวันที่เราท้อแท้ ไม่มีกำลังใจ เอิ้นจะฟังเพลงฤดูที่แตกต่างนะ ทุกครั้งที่ฟังเพลงนี้จะรู้สึกได้เลยว่าเดี๋ยวความทุกข์ก็จะผ่านไป ฟังแล้วเราจะมีกำลังใจ เพลงแค่ 3 นาทีเองนะ มันกลับช่วยเราได้มากถึงขนาดนี้ มันก็คงดีถ้าหากว่าเราสามารถเขียนเพลงให้คนฟังแล้วมีกำลังใจได้อย่างนี้บ้าง

สำหรับตัวเองการได้ระบายด้วยการเขียนเพลงก็ช่วยให้เราสุขภาพจิตดี ขึ้นค่ะ เหมือนเราได้ค้นพบวิธีการบำบัดของตัวเองแล้ว เพราะฉะนั้นการที่เป็นจิตแพทย์ เอิ้นมองว่าเป็นการส่งเสริมซึ่งกันและกัน การเป็นจิตแพทย์ต้องเข้าใจคนมากๆ และทำให้เขาเข้าใจปัญหาของเขาได้ง่ายๆ ซึ่งตรงนี้ยังได้เรื่องมาเขียนเพลงด้วย (หัวเราะ)