วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ทำไมต้องอ้วนเพราะเบียร์ ?

ทำไมต้องอ้วนเพราะเบียร์ ?

อ้วน!!! ไม่เกี่ยวกินเบียร์


บี บีซีนิวส์- เคยสงสัยกันบ้างไหมว่าทำไม่คนไทยถึงเปรียบเทียบคนที่มีหุ่นตุ้ยนุ้ยว่าอ้วน เหมือนตุ่มเหมือนโอ่ง แล้วทำไมฝรั่งมังค่าเขาถึงบอกว่าคนที่มีพุงพลุ้ยเนี่ยอ้วนเพราะเบียร์ แล้ววันนี้นักวิจัยกลุ่มหนึ่งเขาเกิดพบว่า การบอกว่าคนเรานั้นอ้วนเพราะเบียร์เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง

นัก วิจัยจากอังกฤษและสาธารณรัฐเช็กเกิดนึกสงสัยในคำเรียกขานดังกล่าวจึงได้ทำ การสำรวจชาวเช็กเกือบ 2,000 คน ซึ่งเป็นที่รู้โดยทั่วกันว่าชาวเช็กนั้นเป็นนักดื่มเบียร์ตัวยง เพราะปริมาณการดื่มเบียร์ของชาวเช็กต่อคนนั้นมากกว่าคนชาติอื่น แล้วคณะวิจัยก็ได้พบว่า การมีพุงกับการดื่มเบียร์ปริมาณมากๆ ไม่เกี่ยวข้องกันเลย ดังนั้นการบอกว่าคนเราจะอ้วนเพราะดื่มเบียร์จึงเป็นการไม่ถูกต้อง

ทั้ง นี้ ดร.มาร์ติน โบบัค จากยูนิเวอร์ซิตี คอลเลจ ลอนดอน (University College London) และคณะวิจัยจากอินสติติวต์ ออฟ คลินิกคอล แอนด์ เอ็กซ์เพอริเมนทอล เมดิซีน (Institute of Clinical and Experimental Medicine) ในกรุงปราก ได้ให้หญิง 1,098 คน และชาย 891 คน ที่มีอายุระหว่าง 25 ถึง 64 ปี ทำแบบสอบถาม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา โดยไม่มีการกล่าวถึงเครื่องดื่มอื่นๆ ทั้งสิ้น


"ดื่มอะไรที่มีแอลกอฮอล์มากไป ก็อ้วนได้"

จาก การสำรวจพบว่า ชายชาวเช็กจะดื่มเบียร์โดยเฉลี่ยราว 3.1 ลิตรต่อสัปดาห์ ขณะที่ผู้หญิงจะดื่ม 0.3 ลิตรต่อสัปดาห์ โดยในจำนวนนี้มีชายอยู่ 3 คนที่ดื่มเบียร์อย่างหนัก คือดื่มราว 14 ลิตรต่อสัปดาห์ และมีหญิงเพียง 5 คนที่ดื่มถึง 7 ลิตรต่อสัปดาห์ โดยก่อนและหลังการดื่มเบียร์ คณะวิจัยจะให้แพทย์วัดขนาดของเอว และสะโพก ชั่งน้ำหนัก และบันทึกดัชนีมวลรวมของอาสาสมัครไว้ตรวจสอบด้วย

และ คณะวิจัยก็พบว่า การมีพุงไม่เกี่ยวข้องกับการดื่มเบียร์เลยสักนิด โดยกล่าวว่า การค้นพบครั้งนี้ของเขาชี้ให้เห็นว่า การกล่าวอ้างว่าคนอ้วนหรือมีพุงเพราะการดื่มเบียร์มากเกินไปจึงเป็นสิ่งที่ ไม่ถูกต้อง

ด้านนักวิจัยจากอิตาลีชี้ว่า ผู้ชายทุกคนมีแนวโน้มที่จะอ้วนลงพุงได้ ตามความผันแปรของยีนของแต่ละคน ขณะที่ไนเจล เดนบี จากสมาคมโภชนาการแห่งอังกฤษกล่าวว่า ผู้ที่ได้รู้ข่าวนี้ก็ไม่ควรวิ่งแจ้นเข้าผับเข้าบาร์หรือไปหาลานเบียร์เพื่อ ซดเบียร์ให้หายอยาก เพราะไม่ว่าจะรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่ม ชนิดใดก็ตามที่ผสมแอลกอฮอล์ก็สามารถอ้วนได้หากรับประทานมากเกินไป และหากต้องการดื่มจริงๆ ก็ควรดื่มแต่พอดี



วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เชื้อโรคในร้านเสริมสวย

เชื้อโรคในร้านเสริมสวย ร้านทำผม ร้านเสริมสวย
จากการสำรวจความสะอาดในร้านเสริมสวย โครงการสถานที่เสริมสวยหรือแต่งผมสะอาด ปลอดมลพิษเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี

ในรายงานเรื่อง ระวัง! ร้านเสริมสวยทำป่วย นิตยสาร "ชีวจิต" ฉบับ มี.ค. รศ.พ.ญ.วรัญญา บุญชัย คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ให้ข้อมูลว่า โรคติดต่อที่พบในร้านเสริมสวยแบ่งเป็น 4 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้


โรคเชื้อราผิวหนัง เจอ ได้ในผ้าเช็ดผม เพราะหากซักแล้วไม่ได้ผึ่งแดดให้แห้งสนิทเพื่อฆ่าเชื้อโรค เชื้อราจะเจริญเติบโต อีกอย่างคืออุปกรณ์ทำเล็บ เช่น กรรไกรตัดเล็บ ตะไบเล็บ อาจติดมาจากคนที่มีเชื้อและฆ่าเชื้อโรคไม่หมด รวมทั้งพบได้บ่อยในผู้ที่ชอบทำเล็บหรือต่อเล็บ เพราะทำให้เล็บจริงไม่ได้รับอากาศ เวลาโดนน้ำจะชื้น หากเป็นหนักเล็บจะเสียและยุ่ย

โรคจากเชื้อไวรัส เช่น โรคหูด เกิดจากอุปกรณ์ที่สัมผัสกับผิวหนังต่างๆ เช่น กรรไกรตัดเล็บ หวี และหินขัดเท้า

โรคจากเชื้อแบคทีเรีย เกิดจากอุปกรณ์ทั่วไปในร้านเสริมสวยที่ทำความสะอาดไม่ดีพอและใช้ร่วมกัน จำพวกหวีและแปรงต่างๆ

โรคติดเชื้อจากปรสิต เช่น ติดเหาจากอุปกรณ์ประเภทหวีและล่าสุด คือ อาจติดโลนขนตาจากกาวที่ใช้ติดขนตาปลอม เพราะช่างใช้กาวหลอดเดียวกันกับลูกค้าหลายคน


นอก จากโรคติดต่อทางผิวหนังแล้ว จากการศึกษายังพบโรคติดต่อทางเลือดอีกหลายชนิดในร้านเสริมสวย ซึ่งเกิดจากอุบัติเหตุและการไม่เปลี่ยนใบมีด


โดยเฉพาะ อย่างยิ่งเชื้อโรคไวรัสอักเสบชนิดบีและซี ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคตับอักเสบและมะเร็งตับ อุปกรณ์ที่เป็นพาหะคือมีดโกน กรรไกรตัดเล็บ และของมีคมต่างๆ ที่ใช้ในการเสริมความงาม


จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยทางการแพทย์ Emory University School of Medicine สหรัฐอเมริกา วิจัยพบว่าน้ำยาฆ่าเชื้อที่นิยมใช้กันในร้านเสริมสวยไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัส ตับอักเสบซีได้ ทางที่ดีควรเลือกร้านที่เปลี่ยนใบมีดจะดีที่สุด

นอกจากนี้ยังมีอีกหลายโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสารเคมีที่ใช้ในร้านเสริมสวย ไม่ว่าจะเป็นยาย้อมผม ดัดผม ทำสี หรือสเปรย์

แล้วเราจะป้องกันอย่างไร?

คุณหมอวรัญญาแนะนำว่า ควรสังเกตว่า ร้านนั้นๆ มีระบบระบายอากาศที่ดีหรือไม่ เพื่อไม่ให้โดนละอองจากสารเคมีมากเกินไป และสังเกตความสะอาดของร้านและอุปกรณ์ที่ใช้ จะช่วยป้องกันเชื้อโรคเบื้องต้นได้ทางหนึ่ง

‘ลูกชุบ’ ไม่ธรรมดา เล็กๆ แต่ทำเงินก้อนโต

‘ลูกชุบ’ ไม่ธรรมดา เล็กๆ แต่ทำเงินก้อนโต

“ลูกชุบ” ขนมไทยชนิดนี้ไม่เพียงเป็นที่ชื่นชอบของคนไทย คนรุ่นใหม่ ๆ ยุคนี้ยังเริ่มเป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยรูปลักษณ์ที่สวยงามน่ารัก อาศัยฝีมือในการประดิดประดอย สีสันที่สดใส และรสชาติที่อร่อยถูกปากคนทั่วไป ทั้ง ๆ ที่เป็นขนมที่ทำจากถั่วเขียวกวนธรรมดา ก็สามารถสร้างเงินและสร้างรายได้อย่างน่าทึ่ง

วันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูล “ลูกชุบ” มาบอกกล่าวกัน...

อ.สุปราณี ประเสริฐภักดี อายุ 70 ปี เจ้าของร้าน “บ้านลูกชุบ” เล่าถึงที่มาของอาชีพการทำลูกชุบขายว่า เริ่มทำลูกชุบตอนอายุ 40 ปี ยึดอาชีพนี้มาแล้วกว่า 30 ปี เนื่องจากสามีรับราชการ ต้องย้ายตามสามีไปในหลายจังหวัด มีเวลาว่างก็อยากจะเรียนทำขนมเพิ่มเติม โดยเฉพาะลูกชุบ ขนมที่สนใจและอยากจะทำเป็นมานานแล้ว

“ที่ สนใจลูกชุบเป็นพิเศษก็เพราะเกิดฝังใจ เคยเห็นลูกชุบที่เขาเอามาส่งตามห้าง คิดว่าเป็นขนมที่สวยงามและน่ารักมาก พอซื้อมาทานมันไม่อร่อย รู้สึกผิดหวัง เลยตั้งใจว่าถ้ามีโอกาสได้ทำก็จะทำให้ทั้งสวยทั้งอร่อย ตอนอยู่ต่างจังหวัดก็มีหน่วยศึกษาเคลื่อนที่และชมรมสตรีมาสอนทำอาหาร ก็สนใจและมีโอกาสเรียนทำอาหารคาวหวานหลายชนิด และได้เรียนทำลูกชุบสมใจ พอรู้วิธีการทำแล้วก็ยังไม่ถูกใจอีก ก็ปรับปรุงพัฒนาจนได้สูตรของตัวเอง”

แรก ๆ ก็ทำแจกในหมู่แม่บ้านข้าราชการ พอทุกคนบอกว่าอร่อยแล้ว ถ้าเอ่ยถึง “ลูกชุบพาณิชย์” ต้องรู้กันว่าเป็นของ อ.สุปราณี เพราะตอนนั้นบ้านพักอยู่หลังสำนักงานพาณิชย์จังหวัดอุดรธานี

พอมาอยู่กรุงเทพฯ ก็ยกกิจการให้ลูกสาว เปลี่ยนชื่อเป็น “ลูกชุบแซดเอ็น (ZN)” ลูกก็ไปหาตลาดจนได้ มีออร์เดอร์จากเอสแอนด์พีและโรงแรมอีกหลายแห่งทุกเดือน ซึ่งบางเดือนก็มักจะได้รับออร์เดอร์ไปออกงานต่างประเทศ ก็ทำส่งอยู่หลายปี จนปัจจุบันจะไม่มีวางขายตามท้องตลาดทั่วไป แต่จะทำและขายตามออร์เดอร์ที่สั่งเข้ามา

อ.สุปราณียังบอกอีกว่า บ้านลูกชุบเน้นการปั้นด้วยมือ เพราะจะมีความอ่อนช้อยมากกว่าการใช้แม่พิมพ์ และจะปั้นตามจินตนาการของตัวเอง ตอนที่เรียนเขาก็จะสอนให้ปั้นแต่ลูกชมพู่อย่างเดียว ก็มานึกดูว่าอยากจะปั้นอะไร จนได้มาเป็นรูปผลไม้รวม เช่น มะยม แตงโม มะม่วง ชมพู่ ส้ม เชอรี่ มังคุด ฯลฯ

“และ จะเพิ่มเติมรูปแบบต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับเทศกาล เช่น ปีนี้เป็นปีหมู ก็ได้เพิ่มลูกหมูขึ้นมา ใกล้วันวาเลนไทน์ก็จะเพิ่มรูปหัวใจ และถ้าช่วงตรุษจีนก็จะปั้นเป็นซิ่วท้อ ซึ่งได้รับความนิยมมาก”

>> การทำ
วัตถุ ดิบ-ส่วนผสมตามสูตรก็มี ถั่วเขียวเลาะเปลือก 1/2 กก. ต่อหัวกะทิ 2 ถ้วยตวง และน้ำตาลทราย 1/2 กก. ส่วนวัสดุที่ใช้ก็ได้แก่... กระทะทองเหลือง, ไม้พาย, เตาแก๊ส, ตะเกียบ, ไม้จิ้มฟัน, สีผสมอาหาร, จานสี, น้ำสะอาด, พู่กัน, อ่างน้ำ, กะละมัง, เครื่องบดไฟฟ้า หรือครก, ลังถึง, ผ้าขาวบาง

>> ขั้นตอนการทำ “ลูกชุบ”
เริ่ม จากเลือกถั่วเมล็ดเสีย กรวด หิน ออกให้หมด ล้างน้ำ 1 ครั้ง แล้วแช่ทิ้งไว้ 3-4 ชั่วโมง ล้างอีกครั้ง แล้วนำไปนึ่งให้สุก บดหรือโขลกให้ละเอียด แล้วจึงนำถั่วที่บดแล้วใส่ลงไปในกระทะทองเหลือง

นำน้ำตาลทรายและกะทิมาต้มด้วยไฟอ่อนให้ส่วนผสมละลายเข้ากันดี ต้องคนตลอดเวลาไม่ให้กะทิเป็นลูก

นำ ถั่วบดยกขึ้นตั้งไฟปานกลาง ค่อย ๆ ทยอยใส่น้ำกะทิลงกวนทีละน้อยจนหมด การกวนให้กวนไปในทางเดียวกัน เพื่อให้ถั่วเหนียว กวนถั่วไปเรื่อย ๆ จนถั่วกวนเริ่มแห้ง ควรหรี่ไฟให้อ่อนลง เมื่อแห้งจนจับเป็นก้อน และล่อนจากกระทะสักครู่ใหญ่ ๆ จึงยกลงจากเตา พักไว้ให้คลายร้อน นวดจนเนียน

“หากชอบกลิ่นควันเทียน ก็ให้นำถั่วกวนที่ได้ไปอบควันเทียนไว้สัก 3-5 ชั่วโมง”

เสร็จแล้วนำมาปั้นเป็นรูปผัก ผลไม้ หรือสัตว์ ตามชอบได้เลย

>> การปั้น
แบ่ง ถั่วตามขนาดที่จะปั้น ระหว่างที่ปั้นควรคลุมถั่วด้วยผ้าขาวบางชุบน้ำบิดหมาด ๆ เพื่อกันไม่ให้ถั่วแห้ง ปั้นเสร็จก็เสียบกับไม้จิ้มฟันปลายแหลม ระบายสีให้ใกล้เคียงกับของจริง

“การลงสีอย่าพยายามลงสีฉูดฉาด ให้ลงสีอ่อน ๆ เลียนแบบธรรมชาติ”

ระบายสีเสร็จก็เสียบไว้กับโฟม ทิ้งให้สีแห้ง จากนั้นก็นำไปชุบ “น้ำวุ้น”

>> วิธีทำ “น้ำวุ้น”
ใช้ วุ้นผง 5 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 5 ถ้วยตวง น้ำตาลนิดหน่อยเพื่อความวาว นำส่วนผสมใส่หม้อคนให้เข้ากัน แล้วยกขึ้นตั้งไฟกลาง ๆ หมั่นคนจนวุ้นใสเหนียว ยกลงทิ้งไว้สักครู่จะมีฟองสีขาวลอยขึ้น ให้ช้อนฟองทิ้ง

นำถั่วที่ปั้นและระบายสีแล้วชุบกับส่วนผสมวุ้น 1 ครั้ง ปักบนโฟมให้แห้ง แล้วจึงชุบครั้งที่ 2 และ 3 ทิ้งไว้ให้แห้ง เมื่อวุ้นแข็งตัวดีแล้วจึงถอดออกจากไม้จิ้ม ใช้กรรไกรตัดส่วนที่ไม่ต้องการทิ้ง ตกแต่งด้วยใบแก้วให้สวยงาม

>> การขาย
ทาง บ้านลูกชุบจะคิดราคาเป็นชุด ๆ ซึ่งแต่ละชุดจะแตกต่างกันไปตามปริมาณและบรรจุภัณฑ์ มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นตะกร้าหวาย ถาดเงิน ถาดทอง ถาดหวาย กล่องพลาสติก เข่งไม้ไผ่ ถาดประดิษฐ์ใบตอง ฯลฯ โดยจะมีราคาตั้งแต่ 60-3,000 บาท แล้วแต่ว่าลูกค้าต้องการแบบไหน ขนาดเท่าไหร่

ใคร สนใจอยากจะสั่งซื้อหรือลองชิม “ลูกชุบ” ของ อ.สุปราณี ร้านบ้านลูกชุบ ติดต่อไปได้ที่ เลขที่ 33 ซอย 50 ถนนจรัญสนิทวงศ์ กรุงเทพฯ 10700 โทร. 0-2424-8606

“ลูกชุบ” ลูกเล็ก ๆ ก็ทำเงินก้อนโตได้

สารพัด ‘ขนมปี๊บ’ ‘แบ่งแพ็กขาย’ กำไรดี

สารพัด ‘ขนมปี๊บ’ ‘แบ่งแพ็กขาย’ กำไรดี

ขนมแห้งที่บรรจุปี๊บขายส่ง หรือเรียกง่าย ๆ ว่า “ขนมปี๊บ” นั้น มีอยู่มากมายหลายชนิด ซึ่งก็สามารถนำมาใช้ทำเป็นธุรกิจค้าขายง่าย ๆ ทำรายได้อย่างสบาย ๆ โดยรูปแบบของธุรกิจที่ไม่มีความซับซ้อนอะไรมาก...

ดวงพร สีเมฆ ปัจจุบันยึดอาชีพ “แบ่งขนมปี๊บแพ็กขาย” ในตรา “ดวงพร” เจ้าตัวบอกว่า ทำอาชีพนี้มาได้ 4 ปีแล้ว ซึ่งเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้เสริมจากงานประจำได้เป็นอย่างดี

“ทำ งานประจำเกี่ยวกับโฆษณามานาน พอระยะหลัง ๆ ก็ผันตัวเองมาทำแบบฟรีแลนซ์ คือรับงานอิสระ ดังนั้นก็พอจะมีเวลาว่างมากขึ้น จึงไม่อยากรอให้รายได้วิ่งเข้ามาหา เปลี่ยนเป็นเดินเข้าหารายได้บ้าง”

จุด เริ่มของธุรกิจเสริมตัวนี้ เริ่มจากไปช่วยเพื่อนแพ็กขนมผิงเพื่อส่งออกไปต่างประเทศ ซึ่งลอตนั้นมีของเหลือ เพื่อนจึงบอกว่าให้เอาไปขาย จึงลองเอาไปขายตามเพื่อนแนะนำ ซึ่งปรากฏว่าขายได้ เหตุการณ์คราวนั้นก็ทำให้เข้าใจว่าสินค้า คือ ขนมผิง ซึ่งมีแหล่งวัตถุดิบจากจังหวัดสุโขทัยนั้น เป็นของดี ขายได้ “และจากความรู้จากการเรียนวิชาโฆษณามา ก็ทำให้ได้ช่องทางในการทำธุรกิจแบบย่อย ๆ”

เมื่อ เราได้สินค้ามา ต่อไปเราก็ต้องหาสถานที่เพื่อวางจำหน่าย เริ่มต้นด้วยการขับรถตระเวนตามย่านถนนติวานนท์ เข้าไปติดต่อ ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าในโรงอาหารของสถานที่ราชการ ซูเปอร์มาร์เกต ตามคอนโดมิเนียม อพาร์ตเมนต์ ซึ่งก็มีนับสิบร้าน เข้าไปติดต่อเพื่อฝากขายขนม โดยการหาสถานที่เพื่อติดต่อขายของนั้นจะต้องหาในละแวกเดียวกัน และหาจำนวนร้านให้ได้มากในระดับหนึ่ง จะได้ไม่ต้องขับรถไกล เพราะต้องคิดถึงต้นทุนค่าน้ำมันรถด้วย

การเข้าไปติดต่อร้านค้าเพื่อ นำเสนอขนมนั้น ก็จะต้องทำการหีบห่อให้สวยงาม ด้วยการแบ่งย่อยใส่ถุง ๆ ละ 100 กรัม ขายส่งในราคาถุงละ 8 บาท โดยทางร้านค้าจะขายปลีกในราคาถุงละ 10 บาท

ถุงที่ใช้จะใช้ถุงจีบพลาสติกใส มี 3 ขนาด คือ 5x8, 6x9 และ 7x11 ราคา กก.ละ 38 บาท ซึ่งหาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์เบเกอรี่ หรือร้านขายขนมปี๊บที่ไปซื้อสินค้ามาแบ่งขาย

เสริมความสวยงามของถุงด้วยการตกแต่งโดยการใช้กระดาษห่อของขวัญที่หลากหลาย เพื่อไม่ให้สินค้าดูซ้ำซาก-จำเจ โดยจะต้องเลือกใช้ให้เข้ากับขนมและจะเป็นสัญ ลักษณ์ของการหมุนเวียนขนมด้วย

ดวงพรบอกต่อไปว่า สินค้า ที่เริ่มต้นวางขายคือขนมไทย ๆ ขนมผิง กล้วยอบ เผือกเส้น ซึ่งวัตถุดิบคือ อ.บ้านกง จ.สุโขทัย สั่งตรงจากร้านที่จังหวัดและ หลัง ๆ เมื่อไปวางขายตามร้านแล้ว ทางเจ้าของร้านก็บอกว่าให้เอาขนมแบบนั้นแบบนี้มาขายด้วย ซึ่งก็ต้องสนองความต้องการของลูกค้า ไปหา “ขนมปี๊บ” ชนิดต่าง ๆ มาแบ่งแพ็กขาย

“ใน ละแวกบ้านมียี่ปั๊วร้านขนมปี๊บอยู่ร้านหนึ่งและเป็นร้านเดียวกับที่รับขนม จากสุโขทัยมาขายด้วย ดังนั้นเป็นอันว่าเราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องสั่งของจากสุโขทัยโดยตรง ซึ่งเป็นข้อดีอย่างหนึ่งที่ว่าของที่สั่งจากสุโขทัยนั้นเวลามาส่งที่ กรุงเทพฯ แต่ละครั้งจะมาทีละลอตใหญ่ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่สูง ดังนั้นเมื่อซื้อที่กรุงเทพฯ ได้เราก็สามารถนำเงินที่จะมาจ่ายเป็นค่าของลอตใหญ่นั้นมาแบ่งซื้อขนมปี๊บได้ อีกหลาย ๆ อย่าง สินค้าจึงหลากหลาย”

ขนมปี๊บที่นำมาแบ่งขายนั้น ดวงพรบอกว่า ต้องชิมก่อน หมายความว่าสินค้าต้องดีและอร่อย อาทิ ขนมขาไก่ ขนมเกลียวช็อก ข้าวโพดอบกรอบ ขนมปังเวเฟอร์ ขนมปังรูปสัตว์รสช็อกโกแลต-วานิลลา ขนมพองพองช็อก เป็นต้น ซึ่งเหล่านี้เป็นขนมที่ขายได้ดีเมื่อนำมาแบ่งแพ็กขาย

หลักการในการขายที่สำคัญอีกประการ เริ่มแรกจะต้องไม่ลงขนมเยอะไป เช่น แค่ร้านละ 12 ถุง เพื่อกันไม่ให้มีขนมเหลือเยอะ แต่ต้องมีหลายอย่าง ผ่านไป 1 สัปดาห์ก็ไปเก็บเงิน เก็บของที่อาจมีเหลือ เจ้าของร้านก็จะบอกว่าขนมอะไรขายดี-ขายไม่ดีในพื้นที่นั้น ๆ ขนมที่ขายดีแต่ละร้านจะไม่เหมือนกัน ก็ต้องจดไว้ สำหรับส่งของครั้งต่อไป

ปัจจุบัน ดวงพรยังนำ ขนมกรอบเค็ม ขนมถั่วตัด ฟักทองทอด มาเสริมเพิ่มความหลากหลายด้วย และยังฝึกทำ ก๋วยเตี๋ยวหลอด ข้าวตังหน้ากะทิ ขนมตะโก้ ซึ่งก็สามารถเสริมรายได้จากการขายของแบบนี้เพิ่มขึ้นอีก

ทั้ง นี้ ขนมปี๊บนั้นเมื่อซื้อมาปริมาณจะอยู่ที่ 5 กก.เป็นมาตรฐาน ส่วนราคานั้นเฉลี่ยอยู่ที่ 255 บาทต่อปี๊บ แล้วแต่ว่าเป็นขนมอะไร และก็มีต้นทุนค่าถุง-ค่าตกแต่งถุง ค่าขนส่งอีกส่วนหนึ่ง การแบ่งขายจึงต้องขายให้ได้กำไรใกล้ 100% คือแบ่งใส่ถุง ๆ ละ 100 กรัม ขายในราคาส่ง 8 บาท ถ้าขายหมดก็ได้ 400 บาท

ใครสนใจขนม “ดวงพร” ก็ติดต่อได้ที่ โทร. 0-2588-2350 และ 08-6985-9058 ทั้งนี้ ธุรกิจ “แบ่งขนมปี๊บแพ็กขาย” นั้นเป็นอีกรูปแบบธุรกิจค้าขายง่าย ๆ แต่เป็น “ช่องทางทำกิน” ที่น่าสนใจทีเดียว!

คู่มือลงทุน....แบ่งขนมปี๊บขาย
ทุนเบื้องต้น ประมาณ 5,000 บาท
ทุนวัตถุดิบ ไม่เกิน 300 บาท/ปี๊บ
รายได้ 400 บาท/ปี๊บขึ้นไป
แรงงาน 1 คน
ตลาด ฝากขายราคาส่งตามร้านค้าทั่วไป
จุดน่าสนใจ ทำง่ายกำไรดี, เป็นอาชีพเสริมได้

‘ห่อหมกหมูหม้อดิน’ อร่อย-แปลก..แบบไทย ๆ

‘ห่อหมกหมูหม้อดิน’ อร่อย-แปลก..แบบไทย ๆ

“ห่อหมก” อาจจะไม่ใช่อาหารชนิดใหม่ แต่ถึงวันนี้ก็ยังทำขายได้ทั่วไป รวมถึงห่อหมกที่ทำจากหมู หรือห่อหมกหมู วันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” จึงพาไปรู้จักกับ “ห่อหมกหมูแม่ละมัย” ที่ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ที่มีจุดขายน่าสนใจทั้งวัตถุดิบที่นำมาใช้ คือหมู ไม่ใช่ปลา และภาชนะที่ใส่ห่อหมกด้วย

ละมัย เขียวชะอ่ำ เจ้าของสูตรห่อหมกหมู บอกว่า ที่ตลาดน้ำบางน้ำผึ้งได้เปิดให้ชาวบ้านในละแวกเข้ามาจับจองร้านค้าเพื่อ จำหน่ายผลิตภัณฑ์และอาหารที่ผลิตจากฝีมือชาวบ้านโดยแท้ จะไม่มีการรับมาขาย หลักเกณฑ์ในการจับจองร้านค้าผู้ที่เข้าจองจะต้องมีการแจ้งด้วยว่าจะขาย สินค้าอะไร ซึ่งตนเองก็คิดว่าจะขายห่อหมก เพราะเป็นได้ทั้งอาหารทานเล่น และทานกับข้าว แต่ทางผู้จัดการตลาดน้ำเสนอว่าไม่อยากให้ขายอาหารที่ซ้ำกัน เพราะในเวลานั้นมีร้านที่จะขายห่อหมกจำนวนมากแล้ว จึงต้องกลับมาคิดใหม่ แต่ยังไงก็ยังต้องการที่จะขายห่อหมกอยู่ดี

“จึงคิดที่จะหาวัตถุ ดิบอย่างอื่นมาแทนเนื้อปลา เพื่อเป็นการเปลี่ยนแปลงไม่ให้ไปซ้ำกับคนอื่น และเห็นว่าหมูสับก็น่าจะเป็นวัตถุดิบหนึ่งที่จะนำมาดัดแปลงแทนปลาได้ และที่สำคัญยังไม่ค่อยเห็นที่ไหนทำห่อหมกหมูออกมาขายกันด้วย จึงตัดสินใจที่จะทำเมนูนี้ออกจำหน่าย ในช่วงแรก ๆ ก็รู้สึกกังวลว่าจะมีลูกค้าสนใจหรือไม่ เพราะส่วนใหญ่ถ้าจะกินห่อหมกก็ต้องเลือกกินห่อหมกปลาช่อน แต่ก็ลองเสี่ยงดู ปรากฏว่าผิดคาด เพราะลูกค้าให้ความสนใจมาก โดยเฉพาะลูกค้าวัยสูงอายุจะค่อนข้างชื่นชอบเป็นพิเศษ เพราะไม่ต้องระวังก้างติดคอ”

การขายห่อหมกหมู ของแม่ละมัย ในช่วงแรกจะจำหน่ายโดยการใส่กระทงใบตองเหมือนทั่ว ๆ ไป แต่ต่อมาได้พลิกแพลงสร้างจุดขายโดยนำ “หม้อดิน” มาใช้ด้วย ซึ่งก็ทำให้สินค้าได้รับความสนใจมากขึ้นอีก...

“ใส่ในหม้อดิน ทำให้ห่อหมกได้รับการตอบรับจากลูกค้าเพิ่มมากขึ้นอีก”

เคล็ด ลับความอร่อยของ “ห่อหมกหมูแม่ละมัย” กับวิธีในการทำห่อหมกก็ไม่ได้แตกต่างไปจากการทำห่อหมกปลาทั่ว ๆ ไป เพียงแต่นำ “หมูสับ” มาเป็นวัตถุดิบแทนปลาเท่านั้น

ขั้นตอนแรก เริ่มจากการนำหมูสับใส่ลงไปในหม้อผสม จากนั้นก็นำพริกแกงปรุงรสสำเร็จรูปเทลงไป ใช้มือทำการนวดขยำคลุกเคล้าเนื้อหมูกับพริกแกงไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเข้ากัน ใช้เวลาในการนวดประมาณครึ่งชั่วโมง

เมื่อนวดเนื้อหมูและพริกแกงเข้า กันดีแล้วก็นำไข่ไก่ตอกใส่ลงไปในหม้อ ทำการนวดคลุกเคล้าต่อไปจนส่วนผสมเข้ากันเป็นอย่างดี จากนั้นก็ให้นำหัวกะทิค่อย ๆ เทผสมลงไปทีละน้อยและก็นวดไปเรื่อยด้วย ดูว่าเข้ากันดีแล้วเท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อย เตรียมใส่กระทงหรือหม้อดินนึ่งขายได้เลย

“ไม่ควรเทหัวกะทิที่เตรียม ไว้ลงไปทีเดียวจนหมด ต้องค่อย ๆ เททีละน้อยแล้วนวดไปเรื่อย เพราะถ้าเทลงไปทีเดียวหมดจะทำให้เนื้อของห่อหมกไม่นิ่ม” คุณละมัยเผยเคล็ดลับ

ทั้งนี้ สำหรับส่วนผสมตามสูตรของแม่ละมัย หากใช้หมูสับ 1 กก. จะใช้พริกแกงประมาณ 1/2 กก. และใช้ไข่ไก่ 8 ฟอง ส่วนหัวกะทิใช้ประมาณ 1/2 กก.

“ส่วนผักสำหรับรองก้นกระทงหรือ หม้อดินนั้นจะใช้ผักอยู่ 3 ชนิด ได้แก่ ใบยอ ใบโหระพา และกะหล่ำปลี ซึ่งผักทั้ง 3 ชนิดนั้นต้องล้างให้สะอาด และลวกให้สุกก่อนที่จะนำลงไปรอง ที่ต้องนำผักไปทำการลวกน้ำร้อนก่อนนั้นก็เพราะจะทำให้ผักไม่มีรสขม โดยเฉพาะใบยอ”

หลัง จากที่หยอดเนื้อห่อหมกใส่กระทงหรือหม้อดินแล้ว จะต้องตั้งน้ำในรังถึงชั้นล่างให้เดือดก่อน จากนั้นก็นำห่อหมกมาใส่รังถึงอีกชั้นแล้วทำการนึ่ง และก่อนนึ่งต้องหยอดหัวกะทิที่หน้าห่อหมกอีกครั้ง โรยหน้าด้วยผักชีและพริกแดงเพื่อความสวยงาม การนึ่งใส่กระทงจะใช้เวลา 20-30 นาที ถ้าใส่หม้อดินจะใช้เวลานึ่ง 30-40 นาที

คุณละมัยบอกว่า ห่อหมกที่ทำขายนั้น จะเน้นให้หอมและมันด้วย กะทิ มีรสชาติที่กลมกล่อม และเรื่องของความสะอาดก็ต้องให้ความสำคัญทุกขั้นตอนด้วย อย่างถ้าใช้กระทงใบตองก็ต้องเช็ดทำความสะอาดหลาย ๆ รอบ ส่วนหม้อดินนั้นก็จะต้องนำไปนึ่งเสียก่อนจึงจะนำมาใช้ใส่ห่อหมก

การ ทำห่อหมกหมูขาย ถ้าใช้หมูสับ 10 กก. จะได้ห่อหมกแบบใส่กระทงใบตองราว 300 กระทง กับห่อหมกแบบที่ใส่หม้อดินอีกประมาณ 50 หม้อ ซึ่งมีราคาขายอยู่ที่กระทงละ 10 บาท ถ้าเป็นหม้อดินก็จะขายหม้อละ 20 บาท ถ้าขายหมดจะมีรายได้ประมาณ 4,000 บาท โดยลงทุนวัตถุดิบประมาณไม่เกิน 2,000 บาท

ผู้สนใจ “ห่อหมกหมูแม่ละมัย” และอาหารโบราณชนิดอื่น ๆ ที่ทำขายด้วย อาทิ กะปิคั่ว, ปลาอินทรีย์หลน พร้อมผักจิ้ม, แกงขี้เหล็ก, ผัดหมี่กะทิ ร้านของคุณละมัยอยู่ที่ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง พระประแดง ร้านที่ 159 ซึ่งเปิดขายเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ หรือจะสั่งจองสั่งทำก็ โทร.0-2461-3654, 08-9445-0669, 08-7098-5853 ซึ่งรับสั่งทำในวันธรรมดาต้อง 100 กระทงอย่างต่ำ หรือถ้าเป็นหม้อดินก็ 50 หม้อขึ้นไป

เมนูธรรมดาที่มีการทำขายทั่วไปอย่างห่อหมก ถ้านำมาดัดแปลงสูตรกลายเป็นเมนูใหม่ ๆ รู้จักพลิกแพลงภาชนะให้น่าสนใจ ก็สามารถนำมาเป็นจุดขาย สร้าง “ช่องทางทำกิน” ที่ดีได้!

ร้านเสื้อผ้าสำหรับสาวไซต์ใหญ่ B-Girl shop

ร้านเสื้อผ้าสำหรับสาวไซต์ใหญ่ B-Girl shop
ร้านของตั้วชื่อ บี เกิร์ล ช็อบ (B-Girl shop) ค่ะ ตัว B ย่อมาจาก Big และมีอีกความหมายหนึ่ง คือ Be girl คือ เป็นผู้หญิงค่ะ คือ เราจะทำให้เค้าเป็นผู้หญิงมากขึ้น อย่างสวยงามและอ่อนหวานค่ะ ซึ่งจริงๆ เค้าใส่ได้ทุกรูปแบบค่ะ แต่ว่าจำเป็นจะต้องมีการปรับ เสริมจุดเด่น หรือว่าพรางจุดด้อยของเค้า หรือว่าสไตล์การแต่งตัวก็ต้องดู ต้องมีการปรับด้วยค่ะ

เริ่ม ต้น ไซส์เล็กสุด เริ่มจากไซส์ L ขึ้นไปเป็นอย่างต่ำนะคะ อย่างสาวๆ ที่ตัวใหญ่ อาจต้องใส่อะไรที่ไม่ปิดมิดชิดเกินไป เช่น เสื้อคอตั้ง ปิดหมด อาจทำให้ดูตัน หรือตัวใหญ่กว่าเดิม คือว่า จริงๆ แล้วคนที่ตัวใหญ่ แต่มีไซส์แขนที่สมดุลกับตัว ก็อาจเปิดเผยได้ ไม่จำเป็นต้องไปปิดหมด ยิ่งปิดหรือใส่สีดำ หรือใส่สีเข้มมันจะกลายเป็นอะไรที่ดูหนาๆ คือ สีดำช่วยพรางหุ่นบ้างเล็กน้อย อาจเหมาะกับเสื้อที่แบบแข็งๆ คือ ถ้าเป็นแบบสไตล์อ่อนหวาน ไปใส่สีเข้มๆ ก็ใส่ไม่สวยค่ะ


ทำไมถึงได้มาตัดชุดที่คิดว่าสาวไซส์ใหญ่ก็สามารถใส่เปิดได้ ใส่สีอ่อนๆ ได้?
เริ่มต้นที่มาทำชุดไซส์ใหญ่มาจากตัวเองค่ะ เนื่องจากตั้วเป็นคนตัวใหญ่ หาเสื้อผ้ายาก เวลาเดินช็อปปิ้ง เจอน่ารักๆ แต่ใส่ไม่ได้ กลายเป็นอย่างไซส์คุณนุ้ย แต่ว่าตั้วโชคดี มีคุณแม่เป็นดีไซเนอร์ เคยทำร้านเสื้อมาก่อน ช่วยให้ตั้วมีคนที่ดูแล คอยให้คำปรึกษาค่ะ นึกถึงคนที่ตัวใหญ่กว่าเรา ไซส์ใหญ่กว่าเรา คงจะหาเสื้อผ้ายาก จึงมีความคิดว่าเราจะเป็นทางเลือกให้เค้า เป็นร้านเสื้อที่ให้เค้าเลือกเสื้อสวยๆ ไปใส่ จริงๆ คือ เริ่มจากเห็นใจตัวเองก่อน (หัวเราะ)


จริงๆ แล้วสีเข้มใส่ได้ และช่วยพรางบ้างเล็กน้อย แต่ว่าอารมณ์ของสีสันจะช่วยให้เสื้อผ้ามีอารมณ์ และมีความหลากหลาย สีอ่อนทำให้ดูอ่อนหวาน สีแรงๆ จะทำให้ดูเปรี้ยว ดูเสริมขึ้นมา ตั้วคิดว่า สาวไซส์ใหญ่ก็อยากใส่เสื้อผ้าที่มีสีสัน มีรูปแบบหลากหลาย บางครั้งก็อยากดูหวานๆ หรือเซ็กซี่บ้าง


สำหรับ สาวที่ข้างบนเล็กกว่าข้างล่าง แนะนำให้ใส่เสื้อที่มีแขนแบบตุ๊กตา ช่วยเสริมให้ดูมีบ่า หรือดูสมาร์ทมากขึ้น หรือตัวนี้ (ตัวเขียวอ่อน) มีระบาย มีพองช่วงแขน ช่วยได้ค่ะ เพราะจะทำให้ดูมีบ่าใหญ่ เสริมให้ช่วงบนดูใหญ่ขึ้นค่ะ อย่างตัวนี้ (เขียวอีกตัว) มีทิ้งลงมาก็จะปิดช่วงสะโพก พรางหน้าท้องค่ะ


เคล็ดลับผู้หญิงที่มีไซส์ใหญ่จะดูแลตัวเองให้ดูสวย สดใสเสมอค่ะ?แนะ นำว่า จริงๆ แล้วคนเราเนี่ย ความมั่นใจเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะใส่เสื้อผ้าแบบไหน ถ้าคุณมั่นใจและรู้สึกว่าเราใส่แล้วเรารู้สึกว่าเราดูดี ชอบ ใส่แล้วเดินอย่างมั่นใจก็ใส่ไปเลย ยกตัวอย่างพี่นู๋แหม่ม ใส่อะไรก็ดูดีทั้งนั้น อยากให้คุณผู้ชมที่มีไซส์ใหญ่ลองใส่เสื้อผ้าค่ะ ถ้าชอบอะไร ใส่เลย ไม่จำเป็นต้องคอยปิด ไปห่วง คอยแอบตลอด ก็จะช่วยเสริมบุคลิกค่ะ

“คนเราเนี่ย ความมั่นใจเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะใส่เสื้อผ้าแบบไหน ถ้าคุณมั่นใจและรู้สึกว่าเราใส่แล้วเรารู้สึกว่าเราดูดี ชอบ ใส่แล้วเดินอย่างมั่นใจก็ใส่ไปเลย”


สุดท้ายนี้ ถ้าสาวไซส์ใหญ่อยากขอคำปรึกษา หรือติดต่อคุณตั้ว จะติดต่อได้ที่ไหน?
ติดต่อตั้วได้นะคะ 081-928-5644 หรือเข้าไปที่เว็บไซต์ก็ได้นะคะ http://www.b-girlshop.com ค่ะ

นักแต่งเพลง

นักแต่งเพลง
ร้อยเรื่องราว ผ่านท่วงทำนอง
สาว ผู้รักการขีดๆ เขียนๆ และหลงใหลในเสียงเพลงน่าจะเคยฝันถึงอาชีพนักแต่งเพลงกันบ้าง งานนี้จะว่าใช้พรสวรรค์อย่างเดียวก็ไม่เชิง เพราะพรแสวงก็สำคัญใช่ย่อย อย่างเช่นสาวนักแต่งเพลงเลือดใหม่ไฟแรงคนนี้ ที่ถ้าบอกชื่อว่า เอิ้น-พิยะดา หลายคนอาจจะไม่คุ้น แต่ถ้าบอกชื่อเพลงที่เธอแต่งละก็ แทบทุกคนต้องร้องอ๋อ ตั้งแต่เพลง ‘เพื่อนรัก’ ของเอิน-กัลยากร, ‘เจ็บซ้ำซ้ำ’ ของแอน-ธิติมา, ‘รักเท่าไหร่ก็ยังไม่พอ’ ของลูกปัด, ‘คำถาม’ และ ‘อยากมีสิทธิ์ใช้คำว่ารัก’ ของท๊อฟฟี่ ล่าสุดที่ยังฮิตติดชาร์ตไม่เลิก คือ ‘ฤดูรัก’ เพลงประกอบหนัง Season Change

ใครจะเชื่อว่าสาวผู้แต่งเพลงฮิตเหล่านี้ที่จริงมีงานหลักเป็นหมอ WP จึงควานหาตัวเธอมาเล่าถึงงานแต่งเพลงที่เธอรักเสียหน่อย

เอิ้น-พ.ญ.พิยะดา หาชัยภูมิ
นักแต่งเพลงอิสระ, แพทย์สาขาจิตเวช รพ.รามาธิบดี


WP : จากแพทย์มาเป็นนักแต่งเพลงได้ยังไงคะ
หมอเอิ้น : เป็น มาคู่กันเลยค่ะ ที่จริงเด็กจาก จ.เลยแบบเอิ้น เป้าหมายส่วนใหญ่คือเข้า ม.ขอนแก่นให้ได้ แต่ด้วยความที่เราอยากเป็นนักแต่งเพลง และอยากเรียกหมอโดยเอารายได้ทางนี้มาช่วย ตอนเอนทรานซ์ก็เลยเลือกมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ หมดเลย เพื่อการนี้โดยเฉพาะ


WP : แสดงว่าเริ่มแต่งเพลงมาตั้งแต่เด็กเลยเหรอ
หมอเอิ้น : ตั้งแต่สมัยอยู่ชั้นประถมฯ เลยค่ะ (เราฟังแล้วอ้าปากค้างไปเลย) คือพอฟังเพลงได้เขียนหนังสือได้ก็เริ่มแล้ว คงเพราะเป็นคนที่ชอบฟังเพลง แล้วก็ชอบร้องเพลงเล่นๆ แต่ความจำไม่ดี (หัวเราะ) ชอบจำทำนองได้โดยที่จำเนื้อเพลงไม่ได้ ก็เลยร้องมั่วเอง เผอิญว่ามันเกิดฟังรู้เรื่องไง พอถึงวันสำคัญที่บ้าน มีงานก็ขี้เกียจซื้อของขวัญเลยเขียนเพลงให้เขา การเขียนเพลงก็เลยเหมือนกลายเป็นงานอดิเรกเรา เป็นนิสัยเรา เข้าห้องน้ำก็ร้องเพลง อยากจะเขียนไดอารี่ก็เขียนเพลงแทน


WP : ได้ยินว่าแต่งเพลงโดยไม่ใช้เครื่องดนตรีอะไรเลย
หมอเอิ้น : ที แรกเอิ้นเข้าใจว่าทุกคนเป็นแบบนี้ ไม่รู้ว่านี่เป็นความสามารถพิเศษ เรื่องอย่างนี้มันอยู่ที่ว่าเราจะสนใจทำหรือเปล่าเท่านั้น เวลาที่เอิ้นเขียนเพลงมันจะมาพร้อมกันทั้งเนื้อหาและทำนอง เหมือนดังอยู่ในหัวของเรา เป็นมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว บางทีมันจะมาตอนไหนก็ไม่รู้หรอก เลยต้องมีสมุดปากกาไว้คอยจดตลอด เอิ้นจะเขียนลงสมุดไว้เป็นเล่มๆ เลยค่ะ จะพรีเซ้นต์ก็ถามเขาว่าจะฟังเพลงไหนคะ จะร้องให้ฟัง (หัวเราะ)


WP : เพลงไหนแต่งเสร็จเร็วที่สุดคะ
หมอเอิ้น : เพลง ‘คำถาม’ ใช้เวลาแค่ 10 นาทีเองมั้ง (เรา อ้าปากค้างอีกรอบ) ตอนนั้นอยากเขียนเพลงที่บอกความหมายของคำว่ารักแต่ไม่ได้เขียนสักที จนวันหนึ่งได้ดูละคร ตามเรื่องมีเพื่อนมาถามนางเอกว่าความรักของแกคืออะไร แล้วนางเอกเขาก็ตอบ แต่เป็นคำตอบที่ไม่ตรงกับความหมายที่เอิ้นคิดเอาไว้เลย พอละครจบปุ๊บ ปิดทีวี เขียนได้เลย...คำถาม...ที่ใครต่างค้นหา...คือเอามาจากละครน่ะค่ะ แล้วมันก็ไหลไปเองโดยธรรมชาติ จนถึงท่อนฮุกที่ว่า...ความรักฉันหน้าตาเหมือนเธอ...ก็ดันมีหน้าของผู้ชายคน ที่เราคบด้วยในตอนนั้นโผล่ขึ้นมา ก็เลยเฮ้อ! หน้าตาเหมือนมันก็ได้ (หัวเราะ)


WP : แล้วเพลงไหนแต่งยากที่สุด
หมอเอิ้น : ชื่อเพลง ‘รักตัวเองมากไป’ ของลูกปัด อัลบั้มช็อกโกแลตเพลงนี้เขียนยากค่ะ เอิ้นว่าเพลงรักๆ ประเภทมองโลกสดใส เป็นนางเอกเนี่ยเขียนง่ายเลย คงเป็นเพราะคนเราชอบให้คนชม ชอบให้พูดถึงเรื่องดีๆ ถ้าใครพูดถึงข้อเสียของเราจะหงุดหงิด ไม่ชอบแล้ว แต่เพลง ‘รักตัวเองมากไป’ นี่มาจากการที่เอิ้นคิดว่าคนเราชอบคิดถึงแต่ตัวเอง แต่เราไม่ค่อยยอมรับความจริงกัน ก็เลยคิดว่าอยากเขียนเพลงๆ นี้ให้คนที่บางทีรักตัวเองมากเกินไปจนคนอื่นไม่อยากอยู่ด้วยแล้ว เพลงนี้อาจจะสะกิดใจคุณได้ แล้วทำให้คุณหันมามองคนที่เขาดีกับคุณมาตลอด มันยากที่เราจะจี้ใจดำคนอื่นและให้ฟังแล้วยอมรับว่า เออ...เราเป็นคนอย่างนั้นจริงด้วย ไม่ใช่ฟังแล้วต่อต้าน ตามไปตบเลยไอ้คนเขียนเพลงนี้ (ฮาครืน)


WP : รู้สึกอย่างไรที่เพลงที่เราแต่งดังแทบทุกเพลง
หมอเอิ้น : รู้สึก ว่าดวงดีจริงๆ เลย (หัวเราะ) ตอนแรกแค่ได้ยินเพลงเรา รู้ว่าเพลงเรามีคนเอาไปใช้ก็ดีใจแล้ว ความดีใจของเอิ้นมันเหมือนหยุดอยู่ตรงนั้นแล้วไง ก็มีอยู่ช่วงหนึ่งเหมือนกันที่เราได้ไปเรียนรู้กับกลุ่มเขียนเพลงต่างๆ เพื่อจะได้หัดเขียนหลายๆ สไตล์ แต่มาคิดแล้วเอิ้นว่าเราคงไม่ใช่แน่ๆ เอิ้นเป็นคนเขียนเพลงตามความรู้สึก เขียนตามที่ตัวเองคิด เขียนในภาษาที่พี่แอน (ธิติมา ปทุมทิพย์) บอกว่าแกนี่เขียนเพลงภาษาเอิ้นๆ อีกแล้วนะ คือเสี่ยว-เลี่ยน-ลาว (หัวเราะ)

ถ้าครบสามอย่างก็คือภาษาเอิ้นๆ ตอนเขียนเพลงก็ไม่ตั้งใจให้ใครชอบหรอก แค่เรารู้สึกแบบนี้ อย่าง เพลง ‘ฤดูรัก’ ก็ดูหนังแล้วมาคิดว่าถ้าฉันเป็นนางเอกนะ (หัวเราะ) จะสังเกตว่าเขาจะมีโค้ดว่าฤดูหนาวเปลี่ยนเป็นฤดูร้อน เปลี่ยนฤดูไปเรื่อยๆ แต่สิ่งหนึ่งที่เอิ้นคิดว่าไม่เปลี่ยนเลยทั้งเรื่องคือมีความรักทุกซีน ก็เลยตั้งฤดูขึ้นใหม่เป็นฤดูรัก ซึ่งเป็นความรู้สึกหลังจากที่ได้ชม และอยากให้คนฟังแล้วประทับใจเช่นเดียวกับเรา


WP : คิดว่าเพลงของเราเป็นการบำบัดในแง่จิตวิทยาไหมคะ
หมอเอิ้น : คิดอย่างนี้เลยค่ะถึงมาเรียน ตอนที่เอิ้นไปขอทุนก็บอกอาจารย์เลยว่าอยากทำ Music Therapy เพราะเอิ้นเชื่อว่าดนตรีมันช่วยได้จริงๆ อย่างวันที่เราท้อแท้ ไม่มีกำลังใจ เอิ้นจะฟังเพลงฤดูที่แตกต่างนะ ทุกครั้งที่ฟังเพลงนี้จะรู้สึกได้เลยว่าเดี๋ยวความทุกข์ก็จะผ่านไป ฟังแล้วเราจะมีกำลังใจ เพลงแค่ 3 นาทีเองนะ มันกลับช่วยเราได้มากถึงขนาดนี้ มันก็คงดีถ้าหากว่าเราสามารถเขียนเพลงให้คนฟังแล้วมีกำลังใจได้อย่างนี้บ้าง

สำหรับตัวเองการได้ระบายด้วยการเขียนเพลงก็ช่วยให้เราสุขภาพจิตดี ขึ้นค่ะ เหมือนเราได้ค้นพบวิธีการบำบัดของตัวเองแล้ว เพราะฉะนั้นการที่เป็นจิตแพทย์ เอิ้นมองว่าเป็นการส่งเสริมซึ่งกันและกัน การเป็นจิตแพทย์ต้องเข้าใจคนมากๆ และทำให้เขาเข้าใจปัญหาของเขาได้ง่ายๆ ซึ่งตรงนี้ยังได้เรื่องมาเขียนเพลงด้วย (หัวเราะ)

อาชีพทำเงิน ยุคจตุคามรามเทพ

อาชีพทำเงิน ยุคจตุคามรามเทพ


อาชีพ เกี่ยวเนื่องกับจตุคามรามเทพที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำอยู่ตอนนี้ คงหนีไม่พ้น อาชีพ "ปัดทอง" "ทำกรอบ" "ทำสร้อย" "วาดภาพ" และ "ถ่ายภาพ"


สม ชาย โสรตานนท์ ช่างปัดทอง เล่าว่า วันหนึ่งรับปัดองค์จตุคามรามเทพเกือบ 20 องค์ หากเป็นองค์เล็กคิด 100 บาท องค์ใหญ่ 300-400 บาท แต่ถ้าให้ปัดเงินแท้หรือทองแท้อยู่ที่ราคา 500 บาท
"ผมทำอาชีพปัดทอง มา 2 ปีกว่าแล้ว เมื่อก่อนรับปัดพระวันหนึ่งได้เพียง 200-300 บาท แต่ปัจจุบันมีรายได้ถึง 2,000 บาท" สมชายเล่าโดยแทบไม่ละมือจากการปัดทอง


กานต์ ท่าพระจันทร์ อาชีพขายกรอบพระย่านท่าพระจันทร์ บอกว่า กรอบใส่จตุคามรามเทพที่จำหน่ายตามท้องตลาดมีตั้งแต่ราคา 50 บาท ไปจนถึง 2,500 บาท ขึ้นอยู่กับว่าเป็นพลาสติค สแตนเลส ทอง หรือเงินแท้

วันหนึ่งๆ มีคนมาหาซื้อกรอบเป็นจำนวนมาก จนได้กำไรตกวันละ 2,000 กว่าบาทแล้ว


อาชีพ ขาย "สร้อยเชือกถัก" ทำรายได้ให้ สมเกียรติ หลาวทอง ที่ก่อนหน้าประกอบอาชีพขายผลไม้ แต่เมื่อกระแสจตุคามรามเทพมาแรงอย่างฉุดไม่อยู่ จึงเปลี่ยนมาขายสร้อยเชือกถัก โดยขายได้ถึง 1,500 เส้นต่อวัน คิดเป็นเงินหลายพันบาท

"ภาพวาด" เป็นอาชีพที่ไม่น่ามองข้าม ประเสริฐ ศรีรัตน์ชัชวาลย์ เจ้าของร้านรับวาดรูปสีน้ำมันย่านงามวงศ์วาน เล่าว่า ตั้งแต่ต้นปี 2550 มีผู้ว่าจ้างให้วาดภาพจตุคามรามเทพเป็นจำนวนมาก ถึงตอนนี้มี 10 กว่ารูปแล้ว ใช้เวลาวาด 20-30 วัน

รูปขนาด 1x1.5 เมตร ราคาประมาณ 70,000-80,000 บาท แต่หากรายละเอียดของรูปเยอะราคาจะอยู่ที่100,000 บาท

ด้าน ตี๋ วังทอง เจ้าของร้านรับถ่ายภาพพระแถวลาดพร้าว บอกว่า ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาภาพเกือบทั้งหมดที่ถ่าย คือ จตุคามรามเทพ วันหนึ่งมีมาเป็นร้อยๆ องค์ ซึ่งไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน

ส่วน ไก่ โพธิ์ทอง เจ้าของร้านให้เช่าบูชาจตุคามรามเทพย่านงามวงศ์วาน บอกว่า ยังมีอาชีพขายเสื้อยืดพิมพ์ลายจตุคามรามเทพ หลายสี หลายขนาด หลายเนื้อผ้า อาชีพขายสติ๊กเกอร์

หรือกระทั่งอาชีพจำหน่ายคาถาบูชาจตุคามรามเทพก็มีให้เห็น

สารพัด ‘ของทอด’ ทำก็ง่าย-ขายก็คล่อง

สารพัด ‘ของทอด’ ทำก็ง่าย-ขายก็คล่อง

อาหารทานเล่นจำพวก “ของทอด” ส่วนใหญ่แล้วการทำไม่มีอะไรซับซ้อน แต่ขายได้ ยิ่งช่วงเทศกาลถือศีลกินเจด้วยแล้ว บางร้าน “ทอดขายกันแทบไม่ทัน” ซึ่งมีอะไรที่น่าสนใจในเชิงอาชีพกับความง่ายของการทำอาหารจำพวกนี้ขาย? วันนี้ทีมงาน “ช่องทางทำกิน” มีสูตร-ข้อมูลมานำเสนอ

ทิพย์ สุขดี หรือ ป้าทิพย์ อายุ 50 ปี เป็นเจ้าของร้าน เต้าหู้ทอด สามย่าน ซึ่งทอดขายมานาน 30 ปีแล้ว โดยเจ้าตัวเล่าว่า เริ่มต้นอาชีพนี้ด้วยการช่วยน้องสามีขายที่ย่านศาลาแดง ต่อมาเขาเลิกขาย ก็เลยขายเอง แต่ทำเลที่เดิมค่าเช่าแพงขึ้น ลูกชายจึงหาที่ใหม่ให้เมื่อปี 2542 ก็ทอดขายมาจนถึงทุกวันนี้ ปัจจุบันก็ 8 ปีมาแล้ว

สูตรทุกอย่างป้าทิพย์บอกว่า อาศัยจากประสบการณ์ที่ได้ช่วงที่ช่วยน้องสามีอยู่ และเมื่อมาเปิดร้านของตนเอง ก็ดัดแปลงจนเป็นสูตรเฉพาะของตัวเอง จนมีลูกค้าประจำติดใจในรสชาติจนถึงทุกวันนี้

นอกจากที่ร้านนี้จะขายเต้าหู้ทอดเป็นตัวชูโรงแล้ว ก็ยังมี เผือกทอด, หัวไชเท้าทอด, ข้าวโพดทอด, เปาะเปี๊ยะทอด ขายด้วย เพื่อเป็นตัวเลือกให้กับลูกค้า เพื่อไม่ให้สินค้าซ้ำซากจำเจ

กับขั้นตอนการทำ เริ่มที่ “เต้าหู้ทอด” ก็ไม่ยาก แค่ไปสั่งซื้อเต้าหู้จากตลาด ซึ่งเต้าหู้ที่ใช้ประจำนั้นจะเป็น “เต้าหู้เหลือง” หรือที่เรียกอีกอย่างว่า “เต้าหู้กระดาน” ราคากระดานละ 90 บาท แต่ละวันจะใช้ประมาณ 4-5 กระดาน นำมาตัดเป็นชิ้น ๆ ขนาดยาวประมาณ 3 นิ้ว กว้าง 1 นิ้ว เตรียมไว้

สำหรับของทอดชนิดอื่น ๆ ป้าทิพย์บอกว่า ถ้าเป็นเผือก และข้าวโพด ใช้ประมาณวันละ 7 กิโลกรัม ส่วนหัวไชเท้า ใช้วันละ 5 กิโลกรัม ขณะที่เปาะเปี๊ยะนั้นไม่ได้ทำเอง ซื้อแบบทำสำเร็จรูปที่พร้อมทอดขายได้เลยมาใช้

ขั้นตอนการทำ ถ้าเป็นเผือกก็ปอกเปลือกให้เรียบร้อย ล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นบั้งเผือกตามแนวขวางรอบ ๆ โดยเผือก 1 หัว บั้งประมาณ 8-9 วง แล้วก็จะใช้ที่ขูดทำการขูดเผือกเป็นเส้น ๆ หากเป็นหัวไชเท้าก็ใช้ที่ไส (คล้ายที่ไสน้ำแข็ง) ไสไปเรื่อย ๆ จนหมดหัว ขณะที่ข้าวโพดดิบนั้นก็ให้ฝานตามฝัก

เต้าหู้ แค่ตัดเป็นชิ้นก็เตรียมทอดได้ ส่วนเผือก หัวไชเท้า และข้าวโพด ต้องผสมแป้ง เกลือ และน้ำด้วย

ขั้นตอนผสมแป้งนั้น ถ้าผสมครั้งละ 1 กะละมังย่อม ๆ ผสมแป้งหมี่ 1 กิโลกรัม ผงฟู (เพื่อให้กรอบ) 1 ช้อนโต๊ะ และเกลือ (เพิ่มรสเค็ม) อีก 1 ช้อนชา คลุกเคล้าให้เข้ากัน ระหว่างที่คลุกนั้นให้ผสมน้ำลงไปด้วย ในปริมาณที่พอดี ๆ อย่าให้เละเกินไป และไม่ข้นจนเกินไป

สำหรับการทอด ตั้งน้ำมันพืชค่อนกระทะ เมื่อน้ำมันร้อนก็ค่อย ๆ หย่อนของที่จะทอดลงไป (เต้าหู้ใส่ลงไปได้เลย ส่วนของอื่น ๆ แบ่งชิ้นด้วยการตักทีละ 1 ช้อนโต๊ะ)

เมื่อ ใส่ของที่จะทอดลงกระทะแล้ว รีบเร่งไฟให้แรงขึ้นทันที เพื่อที่ของทอดนั้น ๆ จะไม่อมน้ำมัน ใช้เวลาทอดประมาณ 10 นาที ของทอดก็จะเหลือง กรอบ ส่งกลิ่นหอมไปทั่ว ก็นำขึ้นมาพักให้สะเด็ดน้ำมัน รอขาย

ของทอดที่ร้านป้าทิพย์ทุกอย่าง จะขายในราคา 8 ชิ้น 20 บาท

“ของ ทอดจะอร่อยไม่ได้ ถ้าขาดน้ำจิ้มที่อร่อยด้วย” ป้าทิพย์บอก ดังนั้น สูตรเด็ดจริง ๆ ของร้านป้าทิพย์ที่ไม่เหมือนใครก็คือ “น้ำจิ้ม” นั่นเอง

ขั้นตอนการทำน้ำจิ้ม แยกทำเป็น 2 ส่วนหลัก ส่วนแรกคือ นำพริกขี้หนูแดงสดมาปั่นให้ละเอียด เมื่อปั่นเสร็จแล้วให้ใส่เกลือลงไปด้วยเล็กน้อย แล้วใส่ถุงแช่เย็นเอาไว้ แล้วค่อย ๆ ทยอยเอาออกมาทำน้ำจิ้มขาย ซึ่งในแต่ละวันป้าทิพย์จะใช้พริกขี้หนูแดงประมาณ 1 กิโลกรัม

ส่วนที่สองคือ การทำน้ำเหนียว ซึ่งเหมือนกับการทำน้ำเชื่อม โดยเคี่ยวน้ำตาลทรายในสัดส่วน 15 กิโลกรัม ต่อน้ำเปล่า 2 ขัน จากนั้นเคี่ยวให้เหนียว พอใช้ได้แล้วก็ใส่บ๊วยลงไปประมาณ 1 ถุง (ถุงละ 60 บาท)

น้ำจิ้ม 1 ถุงสำหรับขายของทอด 1 ชุด จะประกอบด้วยน้ำเหนียวประมาณ 1 กระบวยครึ่ง พริกปั่น 1 ช้อนชา ถั่วบด เกลือเล็กน้อย และโรยหน้าด้วยผักชี

“ของที่ใช้จะต้องสด ๆ ใหม่ ๆ คือทำไปขายไป ไม่ขายของค้างคืน” คืออีกหนึ่งเคล็ดลับของป้าทิพย์

ใคร สนใจที่จะไปลิ้มลองรสชาติสารพัด “ของทอด” สูตรป้าทิพย์ ร้านนี้อยู่ใกล้ป้ายรถเมล์ หน้าร้านเซเว่น-อีเลฟเว่น บริเวณแยกสามย่าน ฝั่งถนนพระราม 1 ขายตั้งแต่เวลา 07.00 - 17.00 น.

และนี่ก็คือ “ช่องทางทำกิน” อีกช่องทางหนึ่ง ที่ถึงแม้จะเป็นแค่ “ของทอด” ที่อาจจะดูเป็นสินค้าพื้น ๆ แต่ถ้าฝึกทำจนคล่องแคล่ว ทอดออกมาได้อร่อยอย่างป้าทิพย์คนนี้ ก็สามารถสร้างรายได้ไม่เลวเลยทีเดียว!

สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล-โสภนา กิตติรัตน์ชัชวาล

เสื้อผ้าสุนัข ขายดีไซน์

เสื้อผ้าสุนัข ขายดีไซน์

เพราะ ปัจจุบันคนที่นิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงให้ความสนใจดูแลสัตว์เลี้ยงของตนมากขึ้น สารพัดสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงจึงกลายเป็นสินค้าทำเงินได้ดี เป็นตลาดที่ใหญ่ ซึ่งแม้จะมีการแข่งขันสูง แต่ก็พอมีช่องว่างที่จะให้แทรกตัวเข้าไปได้ หากมีใจรัก มีความสามารถ และมีไอเดียดี ๆ วันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีเรื่องนี้มานำเสนอ

สมประสงค์ กิจทวีประเสริฐ หรือ เก๋ เป็นผู้ผลิต “เสื้อผ้าสุนัข” ในชื่อ “ป๊อกกี้ ด๊อก” เจ้าตัวเล่าถึงที่มาของการทำเสื้อผ้าสุนัขจำหน่ายว่า เริ่มจากมีใจรักสุนัขจริง ๆ เพราะเลี้ยงมานานกว่า 7 ปี จนเกิดความรัก-ความผูกพัน เจ้าสุนัขที่ว่ามี 3 สายพันธุ์ คือ พุดเดิล เทอร์เรีย ยอร์กเชีย

แต่เดิมเสื้อผ้าสุนัขที่บ้านก็จะซื้อมา ใส่ให้ เพราะต้องการเพิ่มความสวยงามและให้ความอบอุ่น ซึ่งสุนัขก็เหมือนกันคน ก็ซื้อในราคาท้องตลาด แต่เมื่อตนเองก็มีฝีมือในการตัดเย็บอยู่แล้ว เพราะทำธุรกิจตัดเย็บเสื้อผ้าแบรนด์เนมบางแห่งมานานกว่า 10 ปีแล้ว จึงคิดว่าน่าจะลองทำให้สุนัขของตัวเองใส่ดูบ้าง

การทำเสื้อผ้าสุนัขนั้น ไม่มีอะไรยุ่งยาก ราคาก็ตั้งได้สูงกว่าเท่าตัวของต้นทุน ทุนเบื้องต้นกรณีที่ทำเอง-ขายเองในปริมาณไม่มากก็ไม่สูง แต่หากทำเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ก็จะมีค่าใช้จ่ายมากขึ้นตามลำดับ

ในส่วนของการอุปกรณ์ที่ใช้นั้น มีเพียงแค่จักรเย็บผ้าตัวเดียวและอุปกรณ์ในการตัดเสื้อผ้า อาทิ กรรไกรตัดผ้า ด้ายสารพัดสี เท่านี้ก็ใช้ได้แล้ว ส่วนที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับสมองและฝีมือล้วน ๆ

เก๋บอกว่า “เสื้อผ้าสุนัขถ้าจะให้ขายได้ดีและมีราคานั้น ขึ้นอยู่กับการออกแบบให้สวยงาม และหลากหลาย” เสื้อผ้าสุนัขก็ไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างไปจากเสื้อผ้าคนเลย ความต้องการและความรู้สึกของเจ้าของที่ต้องการมอบให้สุนัข ก็เหมือนกับคนทุกประการ ที่ชอบใส่เสื้อผ้าสวย ๆ ดี ๆ

เสื้อ ผ้าสุนัขที่ทำอยู่มีกว่า 10 แบบ อาทิ ชุดลำลอง ชุดกีฬา ชุดนอน ชุดคลุมอาบน้ำ ชุดเจ้าสาว ชุดโคทกันหนาว ชุดกระโปรง ชุดกางเกง (ยีนส์ / ลูกฟูก และกำมะหยี่) เสื้อยืด เสื้อฮาวาย

การออกแบบสามารถใช้ไอเดียออกแบบได้อย่างเต็มที่ อาจอาศัยดูแบบเสื้อผ้าจากแฟชั่นต่างประเทศที่มีความล้ำหน้าไปกว่าไทยมาก มีทั้งดีไซน์ และลูกเล่นมาก แต่ไม่ได้ลอกมาทั้งหมด ก็มีปรับและประยุกต์ให้เข้ากับแบบไทย ๆ ด้วย เช่น หน้าร้อนก็ทำเป็นเสื้อคอกระเช้าก็ได้ ซึ่งก็ได้รับความนิยมมากเช่นกัน

วิธีการง่าย ๆ ของเก๋ในการเริ่มต้นคือ เริ่มต้นจากการใช้เศษผ้าที่เหลือจากตัดเสื้อผ้าคน ซึ่งไม่ได้เน้นความสวยงาม เอาแค่พอใส่ได้ ด้วยความที่เป็นช่างอยู่แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร สิ่งที่ทำต่อมาคือการวัดตัวสุนัข 4 จุด กรณีเสื้อ ได้แก่ บริเวณรอบคอ รอบอก ความยาวกลางหลัง และความยาวใต้คอถึงใต้ท้อง (เหนืออวัยวะเพศ) กรณีกางเกง-กระโปรง จะวัด 2 จุดคือ รอบเอว และความยาวจากเอวถึงขา เว้าอวัยวะเพศ

เมื่อได้ไซส์ของสุนัขแล้ว ก็จะวาดแพทเทิร์นลงบนกระดาษแข็ง ตามสัดส่วนที่วัดได้

ตัด แพทเทิร์นที่เป็นกระดาษแข็งออกเป็นชิ้น แล้วนำไปทาบกับผ้าที่จะตัด แล้วตัดออกมาเป็นชิ้นผ้าที่จะใช้เลย จากนั้นก็มาถึงขั้นตอนการเย็บเสื้อ-กางเกง/กระโปรง ซึ่งขั้นตอนการเย็บให้เป็นรูปร่างนี้ ถ้าเป็นช่างจะทราบวิธีการชัดเจน อาทิ การต่อไหล่ เย็บพับคอ พับชาย สาบติดกระดุม ฯลฯ

ไซส์ที่ตัดเย็บ ด้านบนนั้น เป็นเพียงไซส์เดียว และในความเป็นจริงแล้วไซส์เสื้อผ้าสุนัขมีมากถึง 8 ไซส์ คือ 0-8 ขึ้นอยู่กับการตั้งค่าของไซส์ของเสื้อผ้าสุนัข

ส่วนราคาขายนั้น เก๋ย้ำอีกครั้งว่า ถ้าทำเอง-ขายเอง สามารถตั้งราคาขายได้มากกว่าเท่าตัวของทุน สำหรับในกรณี เสื้อราคาตัวละ 50–100 กว่าบาท ส่วน กางเกงและกระโปรง ราคาตัวละ 100 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับลักษณะผ้า และความยากง่ายในการตัดเย็บ

หาก สนใจ “เสื้อผ้าสุนัข” ของเก๋-สมประสงค์ กิจทวีประเสริฐ ติดต่อได้ที่ 475-477 ซอยอ่อนนุช 10 ถนนสุขุมวิท 77 แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กรุงเทพฯ โทร.08-1372-3959 ทั้งนี้ “เสื้อผ้าสุนัข” นั้นตลาดยังมีความต้องการซื้ออีกมาก และน่าจะเป็นอีกอาชีพที่น่าสนใจสำหรับคนที่มีพื้นฐานตัดเย็บ และมีไอเดียดี

คู่มือลงทุน...เสื้อผ้าสุนัข
ทุนเบื้องต้น ไม่เกิน 10,000 บาท (ขึ้นกับราคาจักร)
ทุนวัสดุ ประมาณ 50% ของราคาขาย
รายได้ ชิ้นละ 50-100 กว่าบาทขึ้นไป
แรงงาน 1 คน
ตลาด ร้านเพ็ทช็อป, แหล่งขายสุนัข, ตลาดนัด

จุดน่าสนใจ ขายฝีมือบวกไอเดีย ใช้ทุนต่ำ-ราคาดี

ซาลาเปาทอด ไอเดียลาว-ทำเงินในไทย

ซาลาเปาทอด ไอเดียลาว-ทำเงินในไทย
สำรวย เทพศิริวัฒน์ หรือ อ้อย ยึดอาชีพขาย “ซาลาเปาทอด” ควบ คู่กับอาหารอย่างอื่น เช่น ทอดมันปลากรายสูตรปักษ์ใต้ ทางเจ้าตัวเล่าว่า ทำอาชีพค้าขายมานานหลายสิบปีแล้ว เริ่มจากหมูทอด ซึ่งเป็นสูตรเฉพาะที่คิดขึ้นมาเอง จะกรอบนอกนุ่มใน อร่อยกำลังดี ต่อจากนั้นก็ทำทอดมันปลากรายสูตรปักษ์ใต้ขายด้วย ซึ่งก็ได้รับการตอบรับดีมาก เพราะเครื่องแกงที่ใส่ผสมกับเนื้อปลาจะเป็นเครื่องแกงปักษ์ใต้

“พอ ดีไปเที่ยวที่ประเทศลาวกับครอบครัว ไปเห็นเขาทอดขนมบางอย่างขายกัน มีคนต่อคิวซื้อกันเยอะ ก็สงสัย ถามว่าขายอะไร พ่อค้าลาวบอกว่าเป็นซาลาเปาทอด เราก็คุยโน่นถามนี่ ถามถึงสูตรซาลาเปาทอด เขาก็บอกนะ กลับมาถึงกรุงเทพฯ ก็มาลองทำดู โดยสูตรของลาวที่ชิมดูแล้วคิดว่าคงไม่ถูกปากคนไทยแน่ จึงปรับปรุงให้ถูกปากของคนไทยจนได้สูตรที่ลงตัว ทั้งตัวแป้งและไส้ จากนั้นก็ทำขาย แรก ๆ หลายคนสงสัยว่าคืออะไร พอซื้อไปทานก็บอกว่าอร่อย ก็มาเป็นลูกค้าประจำ” คุณอ้อยเล่าถึงที่มาของการขายซาลาเปาทอดแบบนี้

สำหรับ วัสดุอุปกรณ์ในการทำขาย ก็มีพวก... เตาแก๊ส, ลังถึงขนาดกลาง, ตาชั่งเล็ก, ถ้วยตวง, ที่ตัดแป้ง, ผ้าขาวบาง, ที่ร่อนแป้ง, เครื่องตีแป้ง, เครื่องปั่น, ตะกร้าโปร่ง, กะละมังพลาสติก, ถาดอะลูมิเนียม, หม้อ, กระทะ, ตะหลิว ฯลฯ และเครื่องใช้เครื่องมือเบ็ดเตล็ดอย่างอื่นที่สามารถหยิบฉวยได้จากในครัว

ส่วนผสม-วัตถุดิบในการทำซาลาเปาทอด ก็ มี... แป้งสาลีตราบัวแดง, น้ำอุ่น, หัวเชื้อ, น้ำมันพืช, ไข่ไก่, น้ำตาลทราย, ยีสต์แห้ง, เกลือ, เนยขาว, กระดาษลอกลายสีขาว (ตัดเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาด 1 1/2 X 1 1/2)

ขั้นตอนการทำ “ซาลาเปาทอด” เริ่ม จากเตรียมแป้ง 1 กก. แบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก 700 กรัม ร่อนให้ละเอียด แป้งส่วนที่สอง 300 กรัมผสมกับผงฟู 2 ช้อนชา ร่อนให้ละเอียด แล้วคลุมด้วยผ้าขาวพักไว้สักครู่

นำ แป้งส่วนแรกผสมกับยีสต์ 2 ช้อนชา, น้ำสะอาด 1 1/2 ถ้วยตวง ตีด้วยเครื่องตีแป้ง ใช้ความเร็วปานกลางตีประมาณ 15 นาที สังเกตดูว่าแป้งผสมเข้ากับน้ำและยีสต์ดีแล้ว ก็เป็นอันใช้ได้ เสร็จแล้วนำไปใส่ภาชนะคลุมด้วยผ้าขาวบาง ตั้งพักไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิห้องพอดี ๆ ไม่ร้อน-ไม่เย็นเกินไป

ขั้นต่อไปเอา แป้งส่วนแรกมาผสมกับส่วนที่สอง ใส่ไข่ขาว 1 ฟอง น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ ลงไปด้วย ทำการตีประมาณ 30 นาที จับแป้งดูว่าเหนียวพอดีแล้วก็นำไปแช่ในตู้เย็นนานประมาณ 3 ชั่วโมง

จาก นั้นก็นำแป้งออกมาวางลงในถาดอะลูมิเนียมที่ทาด้วยเนยขาว นวดแป้งด้วยมือให้แป้งเนียนขึ้น ใช้ที่ตัดแป้งตัดออกทีละแถว แล้วตัดอีกครั้งเป็นชิ้น ๆ ตามความต้องการ (วิธีการตัดเหมือนกับการตัดแป้งปาท่องโก๋) ใช้มือคลึงแป้งบนถาด น้ำหนักมือต้องไม่หนักและเบาเกินไป มิฉะนั้นแป้งจะออกมารูปทรงไม่สวยงาม

ต่อไปการทำไส้ซาลาเปา “ไส้หมูสับ” ส่วนผสมก็ประกอบด้วย... หมูสับ 1 กก. มันแกวหั่นฝอย 700 กรัม, กระเทียมบด 100 กรัม การทำก็นำส่วนผสมลงผัดในกระทะ ปรุงรสด้วยน้ำตาลทราย 7 ช้อนโต๊ะ, ซีอิ๊วขาว 10 ช้อนโต๊ะ, ผงปรุงรสรสหมูนิดหน่อย, พริกไทยป่น ผัดส่วนผสมทั้งหมดให้แห้ง แล้วนำขึ้นตั้งพักไว้สักครู่

“ไส้ครีม” ส่วนผสมก็ได้แก่... น้ำตาลทราย 250 กรัม, มาการีน 200 กรัม, แป้งสาลี ร่อนสองครั้ง 75 กรัม, นมผง 500 กรัม, นมสด 50 กรัม, แป้งคัส ตาร์ด 500 กรัม, ไข่ไก่ 4 ฟอง, กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา โดยนำส่วนผสมทั้งหมดผสมเข้าด้วยกัน แล้วใส่หม้อตุ๋น กวนจนกระทั่งส่วนผสมเหนียวปั้นได้ ยกขึ้นทิ้งไว้ให้เย็น

ลำดับต่อ ไปเป็นขั้นตอนการปั้นซาลาเปา นำแป้งที่แบ่งไว้เป็นก้อน ๆ มาแผ่ออกเป็นแผ่นกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 นิ้ว หรือขนาดอื่นตามชอบ ตักไส้ตามที่ต้องการที่เตรียมไว้ใส่ลงตรงกลางแผ่นแป้ง แล้วค่อย ๆ ห่อแป้งเข้ามารวมกันให้มิดไส้ คลึงให้เป็นลูกกลม ๆ วางลงบนกระดาษขาวที่เตรียมไว้ ตั้งพักไว้ประมาณ 1 ชั่วโมงเพื่อให้แป้งขึ้นตัว จากนั้นจึงนำไปใส่ลังถึงนึ่งประมาณ 15 นาที ก็เป็นอันเสร็จไปส่วนหนึ่ง

การออกจำหน่าย แบบทอด ไปขายไป ให้เตรียมซาลาเปาใส่กล่องพลาสติก เวลาทอดให้ใส่น้ำมันพืชเยอะ ๆ ลงในกระทะ ใช้ไฟแรงปานกลาง ทอดครั้งละ 10 ลูก ใช้ตะแกรงกระชอนคอยคนอยู่ตลอด พอซาลาเปามีสีเหลืองกรอบก็ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน ก็เป็นอันเรียบร้อย พร้อมที่จะจำหน่ายให้ลูกค้าได้

สำหรับสูตรที่ว่ามานี้ คุณอ้อยบอกว่าสามารถทำซาลาเปาทอดได้ประมาณ 200-210 ลูก ราคาขายก็ลูกละ 5 บาทเท่านั้น โดยจะมีต้นทุนอยู่ที่ลูกละประมาณไม่เกิน 70%

ใครสนใจ “ซาลาเปาทอด” สูตรนี้ สูตรที่นำซาลาเปาขาว ๆ ไส้หมู-ไส้ครีมมาลงกระทะทอดเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่ น่าสนใจ อยากเห็นหน้าตา อยากลองชิมรสชาติ วันอังคารจะขายอยู่ที่ตลาดนัดสหกรณ์การเกษตร, วันพุธ ขายที่กรมแพทย์แผนไทย กระทรวงสาธารณสุข, วันพฤหัสฯ ขายที่โรงพยาบาลโรคทรวงอก และวันศุกร์ ขายที่กรมประมง หรือต้องการนำไปออกร้านในเทศกาลต่าง ๆ ก็ติดต่อคุณอ้อยได้ที่ โทร. 08-6994-9100.

‘หยกมณี’ กำไรดีกับขนมอนุรักษ์

‘หยกมณี’ กำไรดีกับขนมอนุรักษ์

“หยกมณี” เป็นชื่อขนมไทยโบราณชนิดหนึ่ง ชื่อนี้บ่งบอกถึงลักษณะอาหารได้เป็นอย่างดี การนำคำว่า “หยก” รวมกับคำว่า “มณี” บ่งบอกว่าขนมชนิดนี้มีสีเขียวใสแบบหินแก้ว แต่เมื่อรับประทานแล้วก็จะรู้สึกถึงความนุ่มเหนียว มีรสหอมของใบเตย และรสเค็ม ๆ มัน ๆ ของมะพร้าว ซึ่งวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” นำสูตรขนมโบราณชนิดนี้ที่เป็นอีกช่องทางหนึ่งสำหรับการทำอาชีพหารายได้มา เสนอให้ลองพิจารณากัน...

ชื่น ศรีสามแคว หรือ อ๊อด อายุ 28 ปี เจ้าของสูตร “ขนมหยกมณี” และขนมโบราณอีกหลายชนิด เล่าว่า ก่อนจะมาเป็นพ่อค้าขายขนมไทยโบราณเคยทำงานเป็นลูกจ้างร้านทำขนมไทยทั่วไป อย่างทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง เม็ดขนุน เป็นต้น ทำอยู่ประมาณ 1-2 ปี พอมีครอบครัวก็มานึกว่าถ้ายังเป็นลูกจ้างอยู่อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ อาจมองหาอนาคตที่ดีขึ้นไม่เจอ จึงตัดสินใจลาออกเพื่อมาทำขนมขายเอง จนถึงปัจจุบันก็ประมาณ 3 ปีแล้ว โดยเริ่มจากขนมช่อม่วง สำปันนี ลูกชุบ กลีบลำดวน ขนมเรไร เป็นต้น

เพราะเป็นคนที่มีใจรักและชอบอนุรักษ์ ขนมโบราณ ๆ ของไทย ชอบทำขนมที่มีความประณีต-ทำยาก เพราะเหมือนเป็นการท้าทายในการเรียนรู้ อ๊อดจึงอาศัยประสบการณ์พื้นฐานการทำขนมที่มี ผนวกกับความรู้เพิ่มเติมที่ได้จากการหาซื้อหนังสือการทำขนมไทยโบราณมาอ่าน ฝึกฝนและพัฒนาการทำขนมตามความชอบของตัวเอง โดยแรก ๆ ทำเสร็จก็ไปขายอยู่ที่กระทรวงอุตสาหกรรม

ช่วงแรก ๆ ยังไม่ค่อยมีกำไร เพราะเป็นช่วงฝึกฝีมือ และไม่มีที่ขายประจำ จากนั้นก็ขยับขยายไปเรื่อยพร้อมกับเพิ่มตัวสินค้าให้มีความหลากหลาย สลับสับเปลี่ยนไปเรื่อยตามความชอบของลูกค้า จนตอนนี้ดีขึ้นมาก ซึ่งขนมที่เป็นนางเอกตอนนี้คือ “ขนมหยกมณี” รวมถึงขนมใส่ไส้ ขนมเหนียว ขนมต้ม ขนมเรไร เป็นต้น

อ๊อดบอกว่า จะรู้สึกภูมิใจทุกครั้งที่มีคนตั้งแต่วัยรุ่น-วัยกลางคน มาถามว่าขนมที่ขายคือขนมอะไร เพราะหน้าตาไม่เคยเห็น เหมือนกับว่าเขาเป็นคนหนึ่งที่เผยแพร่และอนุรักษ์ขนมไทย

สำหรับวัตถุดิบ-ส่วนผสมในการทำขนมหยกมณี ตามสูตรก็มี... สาคูเม็ดเล็ก 4 ถ้วยตวง, น้ำตาลทราย 4 ถ้วยตวง, น้ำใบเตยคั้น 7 ถ้วยตวง, มะพร้าวทึนทึกขูดฝอยด้วยเล็บแมว 4 ถ้วยตวง, มะพร้าวเผา, ข้าวบาร์เลย์ และเกลือป่นอีกเล็กน้อย และน้ำสะอาด

ส่วนวัสดุ-อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำ ก็ได้แก่... เตาแก๊ส, กระทะทองเหลือง, ไม้พายไม้-ไม้พายยาง, ลังถึง, ที่ขูดมะพร้าวเล็บแมว, ถาดสเตนเลส, กระชอน, กะละมัง, ผ้าขาวบาง, เขียง และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่สามารถหยิบฉวยเอาจากในครัวได้

ขั้นตอนการทำ “ขนมหยกมณี” เริ่มจากฝัดสาคูให้สะอาด เลือกกรวดเล็ก ๆ ออกให้หมด นำสาคูที่ได้ไปแช่น้ำประมาณ 20-30 นาที เพื่อให้สาคูนิ่ม แล้วเทใส่กระชอนให้สะเด็ดน้ำ พักไว้สักครู่

มะพร้าวเผา เอาเนื้อมะพร้าวมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ยาวพอประมาณ ส่วนน้ำมะพร้าวก็เทใส่ภาชนะเอาไว้เพื่อใช้เป็นส่วนผสมในการกวนขนม

จาก นั้นนำน้ำใบเตยที่คั้นเตรียมเอาไว้ใส่กระทะทองเหลืองตั้งไฟปานกลาง ผสมน้ำมะพร้าวเผาลงไปให้ได้ประมาณ 1 ถ้วยตวง พอน้ำเริ่มร้อนเกือบเดือดก็ให้นำสาคูที่เตรียมไว้ใส่ลงไปกวน ลดไฟให้อ่อน ทำการกวนไปเรื่อย ๆ กวนอย่างมีจังหวะสม่ำเสมอจนสาคูสุก

การกวนสาคูควรกวนวนไปทางเดียว สาคูจะได้ไม่ติดกระทะ

พอ สาคูสุกได้ที่จึงค่อย ๆ ใส่น้ำตาลทรายลงไป ห้ามใส่น้ำตาลทรายก่อนสาคูสุก มิฉะนั้นสาคูจะเป็นไตข้างใน และทำให้ใช้เวลากวนนาน เพราะความหวานจะไปรัดตัวสาคูทำให้สุกยาก ทำการกวนต่อไปเพื่อให้น้ำตาลทรายละลายเข้ากับสาคูเป็นเนื้อเดียวกัน สังเกตดูว่าสาคูจะมีลักษณะใสสุก เป็นก้อนไม่เหลว ซึ่งในจังหวะนี้จะกวนยากมากหน่อย ต้องใช้แรงเยอะ

พอกวนได้ที่แล้ว ก็ปิดไฟ ยกสาคูที่กวนเสร็จเรียบร้อยแล้วเทใส่ลงในถาดหรือภาชนะเรียบอื่น ๆ ที่เตรียมไว้ ใช้ไม้พายยางเกลี่ยให้ทั่ว ให้มีความหนาประมาณ 1-2 ซม. พักทิ้งไว้ให้เย็น

ระหว่างที่รอขนมเย็นให้นำมะพร้าวทึนทึกขูดฝอย ที่เตรียมไว้มานึ่งประมาณ 10 นาที พอเย็นให้โรยเกลือป่นเล็กน้อยให้ทั่ว จากนั้นนำขนมมาตัก หรือตัดตามขนาดที่ต้องการ นำลงคลุกในมะพร้าวขูดให้เข้ากัน

การคลุกต้องคลุกทีละชิ้น เพื่อไม่ให้ขนมติดกัน

“ขนมหยกมณี” เจ้านี้ราคาขายคือ 10 ตัว 20 บาท ต้นทุนประมาณ 60%

ปัจจุบัน นี้อ๊อดขาย “ขนมหยกมณี” และขนมไทยโบราณอื่น ๆ หลายที่ วันจันทร์ขายอยู่ตลาดนัดสโมสรการท่าอากาศยาน, วันอังคารขายที่สหกรณ์การเกษตร, วันพุธอยู่ที่กรมป่าไม้ และวันศุกร์อยู่ที่กรมประมง นอกจากขายปลีกยังรับทำตามสั่งเพื่อนำไปใช้ในงานต่าง ๆ ด้วย โดยติดต่อได้ที่ โทร. 08-1648–8982 ทั้งนี้ ขนมไทยโบราณยุคนี้ไม่ธรรมดา ทำขายสร้างรายได้ได้หลายรูปแบบ ทั้งปลีก ส่ง ออกงาน ถือว่าไม่ธรรมดา!

ซูชิ 5 บาท’ ซื้อง่าย-ขายคล่อง

‘ซูชิ 5 บาท’ ซื้อง่าย-ขายคล่อง



ยุค นี้คนไทยนิยมรับประทานอาหารญี่ปุ่นกันไม่น้อย รวมถึงอาหารที่เรียกว่า “ซูชิ” ซึ่งก็มีผู้ที่นำเอาซูชิมาใช้เป็น “ช่องทางทำกิน” ได้อย่างน่าสนใจ ดังเช่นรายที่ทางทีมงานจะนำเสนอในวันนี้...

ศรีกาญจนา วงษ์ชื่น เจ้าของร้าน “ซูชิ ชิ้นละ 5 บาท” ทำขายกันใหม่ ๆ ที่ตลาดนัดหลังกระทรวงการคลัง ขายมาเกือบ 1 ปีแล้ว เธอบอกว่า ด้วยความที่ชอบทำสิ่งสวย ๆ งาม ๆ จึงเปลี่ยนจากอาชีพเดิมมองหาอาชีพใหม่ที่เกี่ยวข้องกับความชอบ ก็มีเพื่อนแนะนำให้ขาย “ซูชิ” พร้อมทั้งบอกวิธีทำ และสอนเทคนิคการทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ ซึ่งตนเองก็มีความมั่นใจในความคิดว่าอาหารประเภทนี้ยังพอมีทางไปได้แน่ ๆ แม้ว่าส่วนตัวจะไม่ค่อยชอบก็ตาม หลังจากหาทำเลขายได้แล้ว วันแรกก็ไปซื้อของ วันที่สองนั่งหัดทำที่บ้านทั้งวัน พอวันที่สามจึงออกขายเลย ซึ่งก็ไม่น่าเชื่อว่าขายหมดตั้งแต่วันแรก



เมื่อ ประสบผลสำเร็จในวันแรก จึงมุมานะพยายามมากขึ้น ด้วยการออกแบบหน้าซูชิต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอีกเพื่อความหลากหลาย อันเป็นการสร้างแรงดึงดูดให้ลูกค้าแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนร้านมากขึ้น จากเดิมที่หน้าซูชิในระยะเริ่มแรกมีเพียง 8-9 หน้า เมื่อ 8 เดือนผ่านไป หน้าซูชิก็มีเพิ่มขึ้นถึง 30 หน้าแล้ว และเธอก็ยิ่งมีความมั่นใจว่าอาหารประเภทซูชินี้มีอนาคตแน่นอน หากมีฝีมือ และมีทำเลที่ดี

ในแต่ละวัน ศรีกาญจนาจะใช้ข้าวญี่ปุ่น เฉลี่ยวันละ 7 กก. ซึ่งราคาค่อนข้างสูง คือประมาณ 60 บาท/1 กก. ไม่สามารถลดต้นทุนด้วยการใช้ข้าวไทยได้ เพราะร่วน ไม่เหนียว เวลาห่อออกมาแล้วข้าวแตก ไม่เกาะกัน

นอกเหนือจากข้าวแล้ว วัตถุดิบอื่น อาทิ หน้าซูชิต่าง ๆ แผ่นสาหร่าย ซอสญี่ปุ่น วาซาบิ ก็ควรสั่งซื้อจากที่เดียวกัน เพื่อป้องกันความสับสน

การ หุงข้าว หุงด้วยหม้อหุงข้าวไฟฟ้าแบบปกติ แต่มีเทคนิคในการเพิ่มรสชาติให้ข้าวไม่จืดชืดด้วยการเติมน้ำซุปสูตรพิเศษ ซึ่งเป็นส่วนผสมระหว่างน้ำส้มสายชู 1 ถ้วย และน้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ ที่ละลายให้เข้ากัน ราดลงให้ทั่วข้าวหลังจากที่ข้าวสุกแล้ว จากนั้นถ่ายข้าวสุกใส่ในภาชนะพลาสติกสีขาวอย่างดี ตั้งพักไว้ให้ข้าวเย็นลง เพื่อจะได้ไม่ร้อนมือเวลาที่ปั้นข้าว และต่อมาก็จะเป็นการม้วนข้าว ซึ่งจะใช้สาหร่ายแผ่น ขนาดประมาณ 8X5 นิ้ว ในแต่ละวันถ้าใช้ข้าว 7 กก. จะใช้แผ่นสาหร่ายประมาณ 70-80 แผ่น

การ ม้วนข้าวนั้นจะมีอุปกรณ์ตัวช่วย 1 อย่างที่ขาดไม่ได้ คือ แผ่นไม้ม้วนข้าว ทำมาจากไม้ วางแผ่นสาหร่ายลงไปบนแผ่นม้วนข้าว ตักข้าวประมาณ 1 ทัพพีกว่า ๆ ลงไปบนแผ่นสาหร่าย เกลี่ยข้าวให้ทั่ว บีบมายองเนสตามแนวขวางบนแผ่นสาหร่ายด้านบน เพื่อทำหน้าที่เป็นกาวให้แผ่นสาหร่ายติดกันเวลาม้วน จากนั้นม้วนข้าวให้เป็นก้อนกลม ซึ่งการม้วนข้าวนี้กว่าจะม้วนให้ออกมาสวยก็ต้องฝึกกันหน่อย

ม้วน แล้วก็ใช้กรรไกรคมกริบตัดข้าวห่อสาหร่ายออกมาเป็นชิ้น ๆ ข้าวห่อสาหร่าย 1 แท่งจะตัดออกมาได้ 8 ชิ้น และข้าวสวย 7 กก. จะม้วนข้าวได้เท่ากับจำนวนสาหร่ายแผ่นที่ใช้ในแต่ละวัน

ต่อมาก็เป็นเรื่องของ “หน้าซูชิ” หน้า หลัก ๆ ที่จำเป็นต้องมีระยะเริ่มต้น มีเพียง 5-6 อย่างเท่านั้น ได้แก่ ไข่กุ้งส้ม 500 กรัม, ยำสาหร่ายเขียว 250-500 กรัม, กุ้งต้ม 100–150 ตัว, ปูอัด 100-150 ชิ้น, ไข่หวาน 500 กรัม, ปลาแซลมอน (ปลาดิบ) และครีมมายอง เนส หากขายแล้วได้กำไร ก็สามารถลงทุนซื้อหน้าเพิ่มได้อีก อาทิ ไข่กุ้งแดง ไข่กุ้งดำ ปลาไหล แมงกะพรุน ฯลฯ เพื่อเพิ่มความหลากหลายของสินค้า

หน้า ซูชิหลัก ๆ ที่ต้องวางโชว์หน้าร้านแบบขาดไม่ได้มี 8-9 หน้า ได้แก่ หน้ากุ้ง, หน้าปูอัด, หน้าปลาแซลมอน (ปลาดิบ), หน้าไข่กุ้งส้ม, หน้ายำสาหร่ายเขียว, หน้ายำสลัดปูอัด, หน้าสลัดไข่กุ้งส้ม, หน้าไข่หวาน หลังจากนั้นก็เพิ่มความหลากหลายได้ถึง 30 หน้า อาทิ หน้าชีส, หน้าสลัดทูน่า, หน้าแมงกะพรุน, หน้าแฮม, หน้าปลาซาบะ, หน้าก้ามปู, หน้าหอยเชลล์ ฯลฯ โดยขายในราคาชิ้นละ 5 บาท

“ที่ร้านจะทำไปขายไป หากของเหลือก็จะไม่นำมาขายซ้ำอีก และของหมุนเวียนที่ใช้ทุกวันจะซื้อมาตุนคราวละจำนวนมาก ๆ แต่จะต้องให้หมดภายในเวลา 3 วัน” ศรีกาญจนาบอก

การทำหน้าซูชินั้น อารมณ์ต้องเย็น ต้องประณีตเพื่อความสวยงาม ที่สำคัญ ของที่ใช้แต่งหน้าซูชินั้น ต้องทำให้ดูมาก พูน น่าทาน ซึ่งก็ต้องตักเยอะจริง ๆ เมื่อลูกค้าซื้อไปทานแล้ว จะได้คุ้มค่าเงินที่จ่ายไป

สัดส่วนข้าวในปริมาณดังกล่าว ใช้เงินลงทุนวัตถุดิบรวมวันละประมาณ 3,000-4,000 บาท หากขายหมดจะได้เงินประมาณ 5,000-6,500 บาท ซึ่งล่าสุดกระแสความนิยมอาหารชนิดนี้ก็ยังไม่ตก

ศรีกาญจนา ขาย “ซูชิ ชิ้นละ 5 บาท” เป็น “ช่องทางทำกิน” อยู่ที่ตลาดนัดหลังกระทรวงการคลัง เยื้องกับ 7-11 ทุกวัน เว้นวันหยุดราชการ ตั้งแต่เวลา 07.00-13.30 น. ใครหาร้านไม่เจอก็ โทร. 08-1614-9593.

ตัวหนีบการ์ตูน’สร้างจุดเด่นเป็นจุดขาย

ตัวหนีบการ์ตูน’สร้างจุดเด่นเป็นจุดขาย

อาชีพ งานฝีมือ งานประดิษฐ์ งานแฮนด์เมด นับวันจะมีการแข่งขันกันในตลาดที่สูง ซึ่งยิ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคู่แข่งในตลาดมาก ก็ยิ่งทำให้เจ้าของงานจำเป็นต้อง “หาเอกลักษณ์” ให้กับสินค้าของตนให้เด่นชัดที่สุด จึงจะไม่มีปัญหา เหมือนกับงาน “ตัวหนีบไม้” ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” นำเสนอในวันนี้ ที่มีการออกแบบติด “ลายการ์ตูน” น่ารักคิกขุ ใส่สีสันสดใสสวยงามมีแบบฉบับของตัวเอง ก็เป็นจุดขายให้กับสินค้าได้

นัยน์ปพร โอสถานนท์ ผู้สร้างสรรค์ออกแบบงานบนแผ่นไม้ ออกมาเป็นลวดลายการ์ตูนที่สวยงาม มีประสบการณ์ในการทำงานด้านนี้มานานกว่า 7 ปี ภายใต้ชื่อ “มาร์ยเวิร์ค รันย์เวย์” และเป็นเจ้าของผลงาน “ตัวหนีบไม้ลายการ์ตูน” ที่จะมาเผยวิธีการทำกัน...

หลัง จากที่เรียนจบมาทางด้านศิลปะ นัยน์ปพรก็ได้เข้าทำงานอาร์ตที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ทำงานอยู่ได้ประมาณ 3 ปีก็ต้องเจอกับช่วงเศรฐกิจตกยุคฟองสบู่แตก บวกกับเบื่อที่จะทำงานบริษัทและต้องการที่จะออกมาสร้างสรรค์งานตามแบบของตัว เอง จึงตัดสินใจออกจากงานประจำมาทำงานที่ตัวเองชอบ

“ใน ช่วงแรกที่ออกมาทำงานของตัวเองกับแฟนนั้นจะทำเป็นพวกงานเปเปอร์มาร์เช่ ทำอยู่ได้ระยะหนึ่งก็เริ่มที่จะมองหางานตัวอื่นเข้ามาทำเสริมไปด้วย เพราะมองดูแล้วว่าถ้าทำแต่งานเปเปอร์มาร์เช่อย่างเดียวมันเริ่มตัน จนมาเริ่มทำงานไม้ เพราะดูแล้วว่างานไม้เป็นงานที่ทน ใช้งานได้นาน ลูกค้าจะชอบ”

การขายสินค้าในระยะแรกที่ผลิตงานออกมา จะนำไปวางแผงขายแบบแบกะดิน ขายตามตลาดนัด นอกจากนั้นยังนำไปเสนอขายตามร้านขายงานกิ๊ฟช็อปที่สวนจตุจักรด้วย

“ที่ ต้องขายแบบนี้ในช่วงแรกก็เพราะต้องการที่จะลองเปิดตลาด หาลูกค้า หลังจากที่พอจะมีลูกค้าสั่งงานพอสมควร ก็ย้ายที่ผลิตมาอยู่ที่ จ.นครปฐม เพราะว่าค่าเช่าที่ ค่าใช้จ่ายไม่สูง”

“สำหรับคนที่ไม่มีความ รู้ด้านศิลปะ ก็สามารถที่จะฝึกทำงานประดิษฐ์จากไม้ตัวนี้ได้ไม่ยาก เรียนรู้เพียง 1 เดือนก็สามารถทำงานออกขายได้แล้ว เพราะการทำงานชิ้นนี้อยู่ที่ความเชี่ยวชาญจากการฝึกฝน” เจ้าของงานกล่าว



สำหรับ วัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นในการทำ ประกอบด้วย เครื่องฉลุไฟฟ้า, เครื่องขัดสายพาน, ไม้เฟอร์นิเจอร์ (MDF), สีอะคลีลิก , กรวยใส่สีทำจากพลาสติกห่อปก, ยูริเทรน, กาวร้อนติดไม้, ตัวหนีบไม้

“เครื่อง ฉลุไฟฟ้านั้นมีราคาอยู่ที่ประมาณ 5,000-6,000 บาท หาซื้อได้ย่านคลองถม แต่ก็สามารถใช้เลื่อยฉลุมือก็ได้ถ้ายังไม่มีทุน ส่วนไม้ที่ต้องใช้ไม้ MDF ก็เพราะว่าเนื้อไม้จะเนียนละเอียดแน่น เวลาทำชิ้นงานจะสวย การเลือกดูไม้ที่เนื้อแน่นดูจากลายไม้จะไม่กระจายออกจากกันมาก และไม้ที่ใช้ก็จะใช้ความหนาตั้งแต่ 3-9 มม. ถ้าเป็นงานชิ้นเล็กอย่างตัวหนีบ ก็ใช้ขนาด 3 มม. แหล่งซื้อไม้ก็อยู่ที่ย่านบางโพหรือภูเขาทอง”

ตัวหนีบไม้ ซื้อแบบที่ขายสำเร็จรูปแล้วที่สวนจตุจักร ราคาอยู่ที่ประมาณ 50 ตัว 100 บาท...



สี อะคลีลิกที่ใช้ ควรใช้อย่างดีเพราะสีจะสดสวยและมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน การซื้อสีก็ซื้อเฉพาะแม่สีแล้วนำมาผสมให้ได้สีที่ต้องการได้ ส่วนการที่ต้องใช้กรวยใส่สี ก็เพราะว่าสามารถลากลายเส้นที่เล็กดี เหมาะสำหรับทำงานชิ้นเล็ก การทำกรวยจะใช้แผ่นพลาสติกสำหรับห่อปกหนังสือมาทำการม้วนให้เป็นรูปกรวย ให้ปลายนั้นแน่นสนิท ไม่มีรู จากนั้นก็ใส่สีลงไป ปิดก้นกรวยให้เรียบร้อย ใช้คัตเตอร์ตัดที่ปลายออกให้เกิดรูเล็ก ๆ เท่านี้ก็ได้กรวยที่ใส่สีแล้ว

ขั้นตอนการทำ เริ่ม จากการออกแบบรูปตัวการ์ตูนที่ต้องการ วาดแบบลงบนแผ่นไม้ จากนั้นก็นำไปเลื่อยฉลุตามแบบที่วาดไว้ โดยจะใช้เลื่อยฉลุมือหรือเครื่องฉลุไฟฟ้าก็ได้

เมื่อ ได้แบบตามที่ต้องการก็นำไปพ่นสีพื้นด้วยสีน้ำอะคลีลิก ปล่อยทิ้งไว้ให้สีแห้งสนิท ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง ไม่ควรนำไปตากแดด หรือผึ่งพัดลม เพราะจะทำให้สีพื้นแตก ไม่สวยงาม หลังจากที่สีพื้นแห้งสนิทดีแล้วก็สามารถนำมาลงสีตกแต่งลวดลายหน้าตาของ การ์ตูนต่าง ๆ ตามที่ต้องการได้ทันที



หลัง จากที่ตกแต่งลายละเอียดเรียบร้อยก็ทิ้งไว้ให้แห้ง จากนั้นก็ทำการพ่นเคลือบด้วยยูริเทรน นำไปผึ่งแดดประมาณ 5 นาที ไม่ควรผึ่งนานกว่านี้เพราะจะทำให้ยูริเทรนไม่แห้งสนิท เมื่อแห้งดีแล้วก็นำไปขัดพื้นหลังให้เรียบด้วยเครื่องขัดสายพาน จากนั้นถึงจะนำไปติดลงบนตัวหนีบที่เพ้นท์สีเตรียมไว้แล้ว ติดด้วยกาวร้อน รอให้กาวแห้งก็เป็นอันเสร็จขั้นตอน

“ตัวหนีบไม้ลายการ์ตูน” ของ นัยน์ปพรนั้นมีอยู่ประมาณ 25 แบบ ขายส่งตั้งแต่ 100 ตัวขึ้นไป ในราคาตัวละ 10 บาท และนอกจากตัวหนีบแล้วยังผลิตสินค้าอื่น ๆ ที่เป็นงานไม้ได้อีกมากมาย อาทิ ตัวแขวนรูปสัตว์ต่าง ๆ เก้าอี้เพ้นท์ลายน่ารัก ป้านติดรั้ว และที่แขวนพวงกุญแจ เป็นต้น

ใคร สนใจสินค้างานไม้น่ารัก ๆ ของนัยน์ปพร ไปดูหรือติดต่อได้ที่ 296 ถ.หน้าพระ ต.ห้วยจระเข้ อ.เมือง จ.นครปฐม 73000 โทร.08-6803-3427, 0-3424-4384 หรือเข้าไปดูตัวอย่างงานได้ที่ http://www.mw-runway.com/ ซึ่งสามารถสั่งออร์เดอร์รูปแบบตามต้องการเพื่อนำไปจำหน่ายต่อได้ !!

หาไอเดีย ทำธุรกิจส่วนตัวอะไรดี

หาไอเดีย ทำธุรกิจส่วนตัวอะไรดี
ยุค ที่ค่าครองชีพแพงหูฉี่หยั่งนี้ ทำให้ทั้งผู้มี รายได้น้อยและปานกลางต้องระมัดระวัง การใช้จ่ายเพื่อให้แต่ละเดือนผ่านไปให้ได้ แบบไม่เกิดอาการครั่นเนื้อครั่นตัวกันใช่มั้ย ดังนั้น หากท่านใดสามารถบริหารรายได้ให้อยู่ในงบที่เดือนชนเดือนได้ก็ถือว่าเก่งแล้ว แฟ้มบุคคล ขอตบมือให้ จึงได้แต่ภาวนาอย่าให้ค่าครองชีพสูงไปกว่านี้อีกเลย ขอให้ต่ำกว่านี้ยังดีกว่าเนอะ จะได้คลายความกังวลลงได้มั่ง

ว่าแล้วขอหักมุมไปพูดเรื่อง การทำธุรกิจส่วนตัว มั่ง แม้ช่วงนี้ใครๆ ก็ร้องจ๊ากยอมรับว่า การ ทำธุรกิจน่ะลำบากลำบนไม่เหมือนสมัยเศรษฐกิจเฟื่องฟูและเงินสะพัด แต่เชื่อขนมกิน ได้เลยว่า ยังมีคนจำนวนมากคิดอยากทำธุรกิจส่วนตัวอยู่ตลอดเวลา ของพรรค์นี้น่ะ บางทีก็เป็นเรื่องโชคชะตาฟ้าลิขิตนะ เพราะใครจะกล้าฟันธงล่ะว่า อย่าไปทำมันเลยเสี่ยง จะตาย เพราะที่ผ่านมาก็มีนี่หว่า ที่บางคนสามารถพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสได้ และไปได้สวยซะด้วย

ธุรกิจส่วนตัว, อาชีพเสริม, รายได้เสริม

ฉะนั้น ถ้าอยากลองทำธุรกิจส่วนตัวกันแล้ว ก็ต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงกัน โถชีวิตของคนเรา ขนาดอยู่เฉยๆ ก็เสี่ยงนะไม่ใช่ไม่เสี่ยง ดังนั้น ถ้าอยากเดินหน้าก็อย่ากลัวว่า จะสะดุด และควรมีความมั่นใจสุดๆ ด้วย ถึงจะฝ่าฟันไปถึงความฝันที่วาดหวังไว้ ใครนะไม่เคย ฝันอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองมั่งอ่ะ

ซึ่ง การมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ก็มีองค์ประกอบที่พอจะแซมเปิ้ล ให้ได้ เช่น.....

1. มีเป้าหมายที่ตัวเองอยากทำซะก่อน เพราะบางคนก็อยากทำแค่ธุรกิจเล็กๆ อย่างมี รถเข็นขายก๋วยเตี๋ยว, ขายน้ำผลไม้ หรือขายผลไม้เต็มตัวไปเลยก็พออะไรเงี้ยะ แต่บาง ท่าน ก็อยากทำธุรกิจใหญ่ขึ้นมาอีกนิด แบบต้องมีพื้นที่หลักแหล่งแน่นอนเพื่อขายหนังสือ, ขาย อุปกรณ์กีฬา หรือทำเป็นสำนักงานขายตั๋วเครื่องบิน ฯลฯ จึง ขึ้นอยู่ กับคุณแล้ว ล่ะว่า อยาก ทำอะไร และสิ่งที่อยากทำนั้นมีวี่แววจะไปรอดหรือ ไม่ต้องคำนึงถึงตรงนี้ ไว้ด้วย อย่าลืมซะล่ะ

2. ต้องลงทุนมากน้อยแค่ไหน? ช่วยตรวจสอบสุขภาพทางการเงินของตัวด้วยนะ หากมีทุนน้อยก็อย่าคิดการใหญ่ หรืออยากทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เดี๋ยวก็เจ๊ากะเจ๊งแล้วได้ ท้อใจกันพอดี

3. จะลงทุนคนเดียวหรือลงทุนกับเพื่อน บางคนกลัวการลงทุนคนเดียว จึงอยากมี หุ้นส่วน จะได้หารต้นทุนแล้วไม่ต้องเสี่ยงลงทุนมากก็ว่ากันไป ตอบคำถามเหล่า นี้ให้ได้ซะก่อน แล้วจะ ค่อยๆ มองเห็นเค้ารางว่าควรทำธุรกิจอะไรชัดขึ้น ขออวยพรให้ประสบ ความ สำเร็จทั่วหน้าจ้ะ

วัด-มูลนิธิ แหล่งช็อปใหม่เสื้อผ้ามือสอง (10 บาท)

วัด-มูลนิธิ แหล่งช็อปใหม่เสื้อผ้ามือสอง

ยุค ข้าวยากหมากแพงสมัยนี้ เงินทองหายากเย็นเหลือเกินไม่ว่าจะหยิบจับข้าวของอะไรราคาก็แพงหูฉี่ ดูดเงินในกระเป๋าของขาช็อปได้ดีเหลือเกิน ทางเลือกหนึ่งที่พอจะช่วยได้นั่นคือ... ของมือสอง โดยเฉพาะเสื้อผ้ามือสองที่มีร้านค้า ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด เพราะด้วยจุดเด่นที่ราคาไม่แพง เจาะกลุ่มเป้าหมายของลูกค้าได้ทุกระดับ บวกกับช่องการจัดจำหน่ายก็ซื้อง่ายขายคล่อง ส่งผลให้เกิดพ่อค้า แม่ค้าหน้าใหม่เกิดขึ้นกันมากมาย

เสื้อผ้ามือสองแหล่งเสื้อผ้ามือสองที่บรรดาพ่อค้า แม่ค้านิยมหาซื้อนำมาขายนั้นที่รู้จักกันดีในก็คงหนีไม่พ้น ตลาดโรงเกลือ จ.สระแก้ว และตลาดตามชายแดนภาคใต้ แต่ระยะหลังพ่อค้า แม่ค้า เจอปัญหาของปลอมเสื้อผ้าไม่มีคุณภาพ อีกอย่างค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปซื้อก็เพิ่มสูงขึ้น ทั้งค่าน้ำมัน ค่าอาหารการกินต่างๆ จึงเปลี่ยนแหล่งเลือกซื้อเสื้อผ้ามือสอง มาเป็นที่ วัดและมูลนิธิต่างๆ ที่รับบริจาคเสื้อผ้าที่ใช้แล้ว จึงเป็นแหล่งที่พ่อค้าแม่ค้านิยมมาหาเลือกซื้อเสื้อผ้ามือสอง เพราะด้วยราคาที่ถูกแสนถูกบวกกับสามารถเลือกเสื้อผ้ากันได้อย่างจุใจ มีมากมายหลายแบบ ทั้งเสื้อผ้าเด็ก ผู้ใหญ่ ชุดนักเรียน ชุดทำงาน ชนิดที่ว่าใครมาก่อนก็มีโอกาสเลือกได้ก่อน

วัดและมูลนิธิจึงกลาย เป็นแหล่งกำเนิดเสื้อผ้ามือสองยอดฮิตอยู่ในเวลานี้ เพราะในแต่ละวันจะมีพ่อค้าแม่ค้าหมุนเวียนมาเลือกซื้อเสื้อผ้านับร้อยคน ซึ่งวัดที่ทุกคนรู้จักกันดีอย่าง "วัดสวนแก้ว" ถือเป็นตลาดยอดฮิตที่มีบรรดาพ่อค้า แม่ค้า เดินทางมาเลือกซื้อเสื้อผ้ามือสองกันอย่างคึกคัก และแทบจะทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่ามาเลือกซื้อเสื้อผ้ามือสองที่วัดแห่ง นี้ เพราะราคาถูกและเลือกเสื้อผ้าได้อย่างเต็มที่ไม่จำกัดเวลา ชนิดที่ใครดีใครได้

เสื้อผ้ามือสองเสียง ยืนยันจากแม่ค้าขายเสื้อผ้ามือสองย่านโรงเรียนเรวดีอย่าง "ป้าแว่น" วัย 61 ปี บอกถึงการมาเลือกซื้อเสื้อผ้ามือสองที่วัดสวนแก้วว่า เสื้อผ้ามือสองที่วัดสวนแก้วจะมีมากมายหลายชนิดหลายแบบ ทั้งเสื้อผ้าของเด็กและผู้ใหญ่ ราคาไม่แพง มีตั้งแต่ตัวละ 1 บาท สามตัว 10 บาท ตัวละ 10 บาท อยู่ที่สภาพของเสื้อผ้า อีกอย่างสามารถเลือกได้อย่างจุใจไม่มีเวลาจำกัด ใครมีเวลามากและเลือกเป็นก็จะได้เสื้อผ้าดีๆ ไปขาย

"ที่แม่ค้าเสื้อ ผ้ามือสองหันมาซื้อเสื้อผ้าที่วัดไปขายกันมากนั้น เพราะการเดินทางมาที่วัดค่อนข้างสะดวกสบาย รวมทั้งต้นทุนที่ซื้อมาต่ำจึงตั้งราคาขายได้ง่ายไม่ต้องสูงมากนัก ซึ่งราคาขายก็จะอยู่ระหว่างตัวละ 30-50 บาท อยู่ที่แบบของเสื้อผ้า ลูกค้าเห็นก็จะตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น เนื่องจากราคาไม่แพงเหมือนกับเสื้อผ้ามือหนึ่ง" ป้าแว่นอธิบาย

เสื้อผ้ามือสองอีก หนึ่งแม่ค้าเสื้อผ้ามือสองย่านตลาดนัดบางลำพู ที่มาเลือกซื้อเสื้อผ้ามือสองจากวัดสวนแก้วไปขายต่อเป็นประจำ อย่าง ฤวดี วัย 35 เล่าว่า ที่มาเลือกซื้อเสื้อผ้ามือสองที่วัดไปขายต่อก็เพราะการเดินทางมาซื้อสะดวก สบายแต่ละเดือนก็จะมาซื้อประมาณสองครั้ง ที่สำคัญราคาไม่แพง มีเสื้อผ้าหลายชนิดให้เลือก หากเลือกดีๆ ก็จะได้เสื้อผ้าสภาพดีๆ ไปขายก็จะได้ราคาขายที่ดีตามไปด้วย ซึ่งเสื้อผ้าที่เลือกไปขายจะเป็นเสื้อผ้าวัยรุ่น เพราะวัยรุ่นชอบเปลี่ยนเสื้อผ้าบ่อยและไม่อยากซื้อของแพง

"เสื้อ ผ้ามือสองที่ซื้อมาก็จะนำไปซักแล้วลงน้ำยาปรับผ้านุ่ม ก็จะทำให้เสื้อผ้าดูใหม่ น่าใส่มากขึ้น และสามารถตั้งราคาได้สูงขึ้นด้วย อย่างกางเกงยีนส์ก็จะอยู่ระหว่างตัวละ 70-100 บาท ยอมรับว่ามีแม่ค้าหันมาขายเสื้อผ้ามือสองกันมากขึ้น เพราะลงทุนต่ำ ซื้อขายกันได้ง่าย"

ใครจะนึกถึงว่าสมัยนี้ "วัด" ไม่ได้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นแหล่งกำเหนิดของแฟชั่นเสื้อผ้ามือสองไปอีกด้วย

ตุ๊กตามวยไทย แม่ไม้(กระถิน)ทำเงิน

ตุ๊กตามวยไทย แม่ไม้(กระถิน)ทำเงิน
งาน ประดิษฐ์ “ตุ๊กตามวยไทยจากไม้” เป็นการนำแม่ไม้มวยไทย ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวของไทย มาทำเป็นโมเดลตุ๊กตาไม้ ซึ่งเมื่อทำได้อย่างลงตัวสวยงาม ก็เป็นอีกชิ้นงานหนึ่งที่น่าสนใจ วันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” มีวิธีการ-ขั้นตอนการทำตุ๊กตาไม้ดังกล่าวนี้มานำเสนอให้ลองพิจารณากัน.....

ตุ๊กตามวยไทยจากไม้



พุฒ ดวงแก้ว เจ้าของผลงาน “ตุ๊กตามวยไทยจากไม้” เล่า ว่า เป็นคนที่ชอบและรักงานศิลปะมาตั้งแต่เด็ก หลังจากจบ ม.3 ก็ไม่มีโอกาสได้เรียนต่อ ได้เข้าทำงานเป็นพนักงานโรงงานแห่งหนึ่ง แต่ถ้ามีเวลาว่างก็จะศึกษาพวกงานศิลปะต่าง ๆ ซึ่งหลังทำงานเป็นพนักงานโรงงานอยู่หลายปีก็เริ่มมีความคิดที่จะหาอะไรทำขาย เป็นอาชีพเสริม เริ่มแรกก็ลองหัดทำงานกรอบรูปวิทยาศาสตร์

ตุ๊กตามวยไทยจากไม้

“ช่วง นั้นกรอบรูปวิทยาศาสตร์กำลังเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยม ก็เลยลองหัดทำดู จนสามารถทำขายได้ และตลาดก็ไปได้ด้วยดี ก็เลยตัดสินใจออกจากงานประจำที่ทำ มาทำกรอบรูปวิทยาศาสตร์ขายเต็มตัว”

ทำกรอบรูปวิทยาศาสตร์อยู่ประมาณ 4-5 ปี จนตลาดกรอบรูปเริ่มเงียบ เขาก็เลยเปลี่ยนเป็นการนำพวกตุ๊กตาของเล่นเด็กมาขายแทน และก็มีความคิดที่จะทำงานประดิษฐ์ใหม่ ๆ ออกมาขายเอง

“ตอนนั้นมีความ คิดที่จะทำงานประดิษฐ์อะไรสักอย่าง แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไร เพราะงานที่ทำนั้นจะต้องทำออกมาให้แตกต่างจากงานของคนอื่น จนในที่สุดก็คิดทำตุ๊กตามวยไทยจากไม้ขึ้นมาได้ เพราะจากการที่เป็นคนที่ชอบดูมวย และเห็นว่าท่าแม่ไม้มวยไทยนั้นมีความสวยงาม ถ้านำมาทำเป็นตุ๊กตาน่าจะขายได้”

เมื่อได้ความคิดที่จะทำตุ๊กตามวยไทยจากไม้ ก็เริ่มทดลองทำอยู่นาน จนสามารถทำตุ๊กตาแม่ไม้มวยไทยได้ลงตัว โดยไม้ที่ใช้ทำนั้นจะเป็น “ไม้กระถิน” ซึ่ง พุฒบอกว่า ไม้กระถินนั้นเป็นไม้ที่เหมาะที่จะนำมาทำที่สุด เพราะนอกจากจะเป็นไม้ที่หาง่ายแล้ว ยังมีคุณสมบัติที่เนื้อไม้จะมีความนุ่มเนียน ผิวไม้เป็นสีเหลืองสวย

วัสดุอุปกรณ์ในการทำ “ตุ๊กตามวยไทยจากไม้” หลัก ๆ ก็มี ไม้กระถิน, สว่านมือ, เลื่อยตัดไม้, เครื่องกลึง, กระดาษทราย, คัทเตอร์, กาวร้อน, เชือกเส้นไหม (ที่ใช้สำหรับปักผ้า), เศษผ้า เป็นต้น

ตุ๊กตามวยไทยจากไม้

ขั้น ตอนการทำ เริ่มจากนำไม้กระถินมาทำการลอกเปลือกออกให้หมด จากนั้นก็นำไปตากแดดให้เนื้อไม้แห้ง เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ไม้เป็นรา และสามารถเก็บไม้ไว้ได้นาน “ไม้กระถินที่ใช้นั้นจะต้องเป็นไม้แก่ เพราะไม้กระถินแก่เวลาขัดแล้วเนื้อไม้จะเรียบเนียนสวย และไม้ก็จะไม่ยุบตัวด้วย”

นำไม้ที่ลอกเปลือกและตากแดดจนแห้งแล้วมา กลึง ทำเป็นส่วนหัวและส่วนตัวของตุ๊กตา โดยทำขนาดของส่วนหัวและส่วนตัวให้ได้ขนาดที่เหมาะสมกัน เมื่อกลึงเสร็จเรียบร้อยก็นำมาขัดด้วยกระดาษทรายให้เรียบแล้วใช้ชแล็กทา เคลือบ นำไปตากแดดให้แห้ง จากนั้นก็นำมาเจาะรูสำหรับประกอบส่วนหัว แขน และขา “ในการเจาะรูบนส่วนที่เป็นตัวตุ๊กตานั้น จะต้องคิดล่วงหน้าว่าจะทำตุ๊กตาให้เป็นกระบวนท่าอะไร”

พุฒบอกต่อไป ว่า หลังจากเจาะรูเรียบร้อย ก็ประกอบส่วนต่าง ๆ เริ่มจากส่วนหัว โดยใช้ไม้เสียบลูกชิ้นเสียบเป็นแกนระหว่างส่วนหัวและตัว แล้วใช้กาวร้อนหยอดติดให้แน่น จากนั้นก็ประกอบส่วนแขน โดยใช้ไม้เสียบลูกชิ้น ทุบปลายไม้ให้แตกเล็กน้อยจากนั้นใช้เชือกเส้นไหมพันเหมือนการคาดเชือกให้นัก มวย โดยเริ่มจากส่วนปลาย พันขึ้นมากะระยะพอประมาณเกือบถึงข้อศอก จากนั้นใช้คีมตัด แล้วหักงอให้ได้ตามท่าแม่ไม้มวยไทยที่ต้องการ ทำเหมือนกันทั้งสองข้าง และประกอบเข้ากับส่วนตัว ติดกาวให้แน่น ซึ่งส่วนขานั้นก็ทำเหมือนแขน

ตุ๊กตามวยไทยจากไม้

เมื่อ ประกอบเรียบร้อยก็นำเศษผ้ามานุ่งเป็นโจงกระแบนให้ตัวตุ๊กตา ตกแต่งรายละเอียด วาดหน้าตาให้เรียบร้อย แล้วนำไปติดฐาน ใช้กระดาษทรายขัดตกแต่งให้เรียบอีกนิดหน่อย เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จ

“ที่ ใช้ไม้เสียบลูกชิ้นมาเสริมเพราะเป็นไม้ไผ่ เวลางอทำส่วนข้อศอกและหัวเข่า ไม้จะไม่ขาดจากกัน แต่ก็ต้องมีเทคนิคตกแต่งส่วนที่ทำการหักงอเล็กน้อย โดยใช้ผงไม้ที่ได้จากการขัดไม้กลึงไม้ นำมาร่อนเอาผงไม้ที่ละเอียดที่สุด ใช้ใส่ลงไปตรงส่วนที่ทำการหักงอให้เป็นข้อศอกและหัวเข่าของตุ๊กตา จากนั้นก็ใช้กาวร้อนหยอดใส่ลงไปบนผงไม้ พอกาวแห้งก็ใช้กระดาษทรายตัดตกแต่งให้เรียบ”

ตุ๊กตาจากไม้กระถินของ พุฒนั้นมีอยู่ 2 ขนาดคือ ขนาดเล็กสูง 4 นิ้ว ขายราคาตัวละ 30 บาท ถ้าเป็นคู่ ๆ ละ 50 บาท ขนาดใหญ่สูง 12 นิ้ว ขายราคาตัวละ 100 บาท ถ้าเป็นคู่ ๆ ละ 150 บาท ซึ่งนอกจากตุ๊กตาแม่ไม้มวยไทยแล้ว ยังมีตุ๊กตาตีกอล์ฟ ตุ๊กตานักดาบ และตุ๊กตาการละเล่นพื้นบ้านอีกด้วย

ใคร สนใจ “ตุ๊กตามวยไทยจากไม้” หรือตุ๊กตาแบบอื่น ๆ ของ พุฒ ดวงแก้ว ต้องการสั่งซื้อไปตั้งโชว์ หรือสั่งไปขายต่อ ก็ติดต่อได้ที่ โทร.08-6901-6858 หรือสนใจอยากเรียนรู้ก็ลองสอบถามเจ้าของผลงานกันดูเอง ส่วนใครที่ได้ไอเดียไปทำงานประดิษฐ์เป็นอาชีพบ้าง ก็ฝึกฝนด่วน อย่ารอช้า !!